ริ้วรอยหน้าผากเป็นหนึ่งในสัญญาณความเสื่อมสภาพของผิวที่หลายคนพบเจอและมักจะเริ่มปรากฏขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น
ริ้วรอยเหล่านี้อาจปรากฏอย่างชัดเจนและบางครั้งก็เป็นสาเหตุของความไม่มั่นใจในตนเองสำหรับหลายๆ คน
ตามธรรมชาติแล้ว ผิวหนังจะสูญเสียความยืดหยุ่นและความชุ่มชื้นเมื่อเราแก่ขึ้น ทำให้ริ้วรอยเหล่านี้เกิดได้ง่ายขึ้น
นอกจากอายุที่เพิ่มขึ้นแล้ว มีปัจจัยอื่นๆ ที่สามารถส่งผลต่อการเกิดริ้วรอยหน้าผาก ได้แก่ การทำงานของกล้ามเนื้อใบหน้าเมื่อแสดงอารมณ์ต่างๆ การสัมผัสกับแสงแดดโดยไม่มีการป้องกัน ความเครียด รวมถึงวิธีการดูแลผิวที่ไม่เหมาะสม ปัจจัยเหล่านี้ไม่เพียงแต่ทำให้ริ้วรอยหน้าผากเกิดขึ้นเร็วขึ้นเท่านั้น แต่ยังสามารถทำให้ริ้วรอยเหล่านี้ลึกและชัดเจนขึ้นอีกด้วย
การรู้เท่าทันและการดูแลตัวเองเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการชะลอและลดปัญหาริ้วรอยหน้าผาก การใส่ใจในการเลือกผลิตภัณฑ์ดูแลผิว การป้องกันผิวจากแสงแดด การบริหารกล้ามเนื้อใบหน้า และการควบคุมความเครียดเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลเพื่อช่วยลดปัญหาริ้วรอยที่อาจเกิดขึ้นได้
ริ้วรอยหน้าผาก เกิดจาก 5 สาเหตุหลัก
1.ความเสื่อมสภาพของผิวตามอายุ
กระบวนการเสื่อมสภาพของผิวตามอายุ เป็นจุดที่หลายคนต้องเผชิญหน้าเมื่อเวลาผ่านไป และคอลลาเจนถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่มีผลต่อความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของผิวหนังของเรา ดังนั้น การลดลงของคอลลาเจนจึงส่งผลต่อการเกิดริ้วรอย และการเสื่อมสภาพของผิวในภาพรวม
กระบวนการเสื่อมสภาพของผิวตามอายุ
เมื่อเราแก่ขึ้น ผิวของเราจะเริ่มแสดงอาการแห่งการเสื่อมสภาพในหลายๆ ด้าน
- การลดลงของเกราะป้องกันผิว ส่งผลให้ผิวขาดความชุ่มชื้น และส่งผลให้ผิวแห้งกร้าน
- การลดลงของโปรตีนที่สำคัญ เช่น คอลลาเจนและเอลาสติน (Elastin) ทำให้ผิวหนังขาดความยืดหยุ่นและมีริ้วรอย
- การลดลงของกระบวนการผลิตเซลล์ผิวใหม่ ส่งผลให้ผิวดูหยาบ และไม่กระจ่างใสเท่าที่ควร
2.การทำงานของกล้ามเนื้อ
การทำงานของกล้ามเนื้อบนใบหน้ามีส่วนสำคัญต่อการเกิดริ้วรอย โดยเฉพาะที่บริเวณที่เราใช้งานมากในการแสดงอารมณ์ต่างๆ เช่น ริ้วรอยหน้าผาก ริ้วรอยรอบดวงตา หรือริ้วรอยริมปาก หลักการทำงานของกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการเกิดริ้วรอยเป็นดังนี้
สัญญาณของกล้ามเนื้อ
เมื่อเราแสดงอารมณ์ สัญญาณประสาทจะส่งไปยังกล้ามเนื้อบนใบหน้า ทำให้กล้ามเนื้อนั้นหดหรือยืดตัว ตัวอย่างเช่น เมื่อเรายิ้ม กล้ามเนื้อรอบปากและแก้มจะหดตัวลง ทำให้เกิดริ้วรอยบริเวณนั้นได้ง่าย
การใช้งานซ้ำๆ และการเกิดริ้วรอย
การใช้งานกล้ามเนื้อใบหน้าอย่างต่อเนื่องและซ้ำๆ ในทิศทางเดิม จะทำให้เกิดริ้วรอยที่บริเวณนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผิวหนังเริ่มสูญเสียความยืดหยุ่นและคอลลาเจนตามการอายุ
การฟื้นฟูของผิวหนัง
ในวัยรุ่นและวัยหนุ่มสาว ผิวหนังยังมีความสามารถในการฟื้นฟูเองได้ดี แต่เมื่อผิวเริ่มแก่ขึ้น ความสามารถในการฟื้นฟูนี้จะลดลง ทำให้ริ้วรอยที่เกิดจากการใช้งานกล้ามเนื้อซ้ำๆ นั้นยิ่งเป็นชัดเจนขึ้น
ความผิดปกติในการทำงานของกล้ามเนื้อและผิวหนัง
ในกระบวนการทำงานปกติ ผิวหนังและกล้ามเนื้อจะทำงานร่วมกันอย่างราบรื่น แต่เมื่อเราแก่ขึ้น ผิวหนังจะเริ่มหยาบและไม่ยืดหยุ่น ส่งผลให้กล้ามเนื้อทำงานโดยที่ผิวหนังไม่สามารถปรับตัวไปกับการทำงานของกล้ามเนื้อได้อย่างเต็มที่
เพื่อลดการเกิดริ้วรอย การใช้งานกล้ามเนื้อใบหน้าในแต่ละช่วงอายุ และการดูแลผิวหน้าอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอนั้นมีความสำคัญ เนื่องจากริ้วรอยบนหน้าผากบ่อยครั้งเกิดจากการทำงานของกล้ามเนื้อ การควบคุมการใช้งานกล้ามเนื้อและการเสริมสารสกัดที่ช่วยบำรุงผิวหนังอย่างสม่ำเสมอนั้น สามารถช่วยลดการเกิดริ้วรอยได้
3.ความเครียด
ความเครียดมีผลต่อร่างกายในหลายๆ ด้าน และผิวหนังก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น การเกิดความเครียดอาจเป็นสาเหตุของการเกิดริ้วรอยบนผิวหนังอย่างไม่คาดคิด ซึ่งสามารถอธิบายได้ดังนี้
การปลดปล่อยฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol)
เมื่อมีความเครียด ร่างกายจะปลดปล่อยฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ทำให้ร่างกายเตรียมตัวต่อสู้หรือหนีตามสถานการณ์ ฮอร์โมนนี้อาจทำให้เกิดการลดลงของการผลิตคอลลาเจนและเอลาสติน ทั้งสองเป็นสารที่ช่วยในการรักษาความยืดหยุ่นและความแน่นของผิว
การสูญเสียออกซิเจน
ความเครียดอาจส่งผลให้เกิดการสูญเสียออกซิเจนในร่างกาย ส่งผลให้เกิดอันตรายต่อสารอนุมูลอิสระที่สามารถทำลายคอลลาเจนและเซลล์ผิวหนัง
พักผ่อนน้อย
ความเครียดอาจส่งผลให้เราหลับน้อยลง และการพักผ่อนน้อยก็เป็นสาเหตุของการเกิดริ้วรอย เนื่องจากระหว่างที่เราหลับ ร่างกายจะเริ่มกระบวนการฟื้นฟูผิวหนัง ทำให้กระบวนการเหล่านี้ไม่ทำงาน
การกระตุ้นการเผาผลาญ
ความเครียดจะกระตุ้นร่างกายให้เผาผลาญสารอาหารอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลให้ผิวหนังได้รับสารอาหารน้อยลง ทำให้สุขภาพผิวไม่ดี
การทำลายเกราะป้องกันผิว
ความเครียดสามารถทำลายบาริเออร์ผิวที่เป็นธรรมชาติ ทำให้ผิวหนังเสี่ยงต่อการเกิดการระคายเคืองและผิวแห้ง
ความเครียดสะสมสามารถกระตุ้นให้ริ้วรอยเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว การค้นหาวิธีการจัดการกับความเครียด ไม่ว่าจะเป็นการฝึกฝน การค้นหางานอดิเรก การฝึกการทำสมาธิ หรือวิธีการอื่นๆ จะช่วยเพิ่มสุขภาพผิวและลดการเกิดริ้วรอยได้จากภายในสู่ภายนอก
4. การถูกทำร้ายจากแสงแดด
แสงแดด โดยเฉพาะแสงยูวี (UV) ที่ได้รับจากแสงแดด มีผลกระทบอย่างยิ่งต่อสุขภาพและความงามของผิว โดยเฉพาะที่บริเวณใบหน้าที่ปะทะกับแสงแดดโดยตรง และเป็นผลกระทบที่ทำเกิดริ้วรอยบนใบหน้า
การทำลายคอลลาเจน แสงยูวีทำให้คอลลาเจนในผิวหน้าถูกทำลาย คอลลาเจนเป็นโปรตีนที่ช่วยให้ผิวของเรามีความยืดหยุ่นและแน่น การลดลงของคอลลาเจนทำให้ผิวไม่ยืดหยุ่น ส่งผลให้เกิดริ้วรอย
สีผิวไม่สม่ำเสมอ แสงแดดทำให้เกิดการผลิตเม็ดสีเมลานินที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิดฝ้าหรือจุดด่างดำบนผิว ซึ่งร่วมกับริ้วรอยทำให้ผิวดูแก่ขึ้น
ผิวแห้งและขาดความชุ่มชื้น การรับแสงแดดเป็นเวลานานโดยไม่มีการป้องกันทำให้ผิวสูญเสียความชื้น ผิวแห้งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดริ้วรอย
เพื่อป้องกันผลกระทบจากแสงแดด การใช้ครีมกันแดดทุกวัน โดยเฉพาะเมื่อไปอยู่พื้นที่กล่างแจ้งเป็นเวลานาน เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง
นอกจากนั้น การใส่หมวกกันแดดหรือแว่นตากันแดดยังเป็นวิธีดีในการป้องกันผิวหน้าจากการรับแสงแดดโดยตรง
5.การดูแลผิวที่ไม่เหมาะสมทำให้เกิดริ้วรอย
การดูแลผิวที่ไม่เหมาะสมนั้นไม่เพียงแค่ทำให้ผิวสุขภาพไม่ดี แต่ยังส่งผลให้เกิดริ้วรอยและแก่เร็ว สิ่งที่ควรระวังและป้องกันจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ
ซึ่งปัญหาเหล่านี้ส่งผลต่อการเกิดริ้วรอยด้วยการดูแลผิวที่ไม่เหมาะสม
การล้างหน้าบ่อยเกินไป การล้างหน้าบ่อยๆ หรือใช้สบู่/โฟมล้างหน้า ที่รุนแรงมากเกินไป จะทำให้ผิวหนังขาดน้ำและน้ำมันธรรมชาติบนใบหน้า ส่งผลให้ผิวแห้ง ขาดความยืดหยุ่น และเกิดริ้วรอย
การไม่ใช้ครีมบำรุงผิว การขาดการบำรุงหรือใช้ครีมที่ไม่เหมาะสมกับประเภทผิวของตนเอง ทำให้ผิวหนังขาดสารอาหารและความชุ่มชื้น และส่งผลให้เกิดริ้วรอย
การไม่ใช้ครีมกันแดด การไม่ป้องกันผิวหนังจากแสงแดดจะทำให้ผิวหนังถูกทำลายด้วยแสง UV ทำให้เกิดริ้วรอย
การใช้เครื่องสำอางที่ไม่เหมาะสม เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมที่รุนแรงหรือประสิทธิภาพต่ำ อาจทำให้ผิวหนังระคายเคืองหรือเกิดการอุดตันรูขุมขน
การดื่มแอลกอฮอล์ แอลกอฮอล์ทำให้ผิวหนังหายน้ำ ทำให้ผิวหนังแห้งและเกิดริ้วรอย
การสูบบุหรี่ สารเคมีในบุหรี่สามารถทำลายคอลลาเจนและเอลาสติน ทำให้ผิวหนังสูญเสียความยืดหยุ่นและเกิดริ้วรอย
การดูแลผิวหนังอย่างถูกต้องและเหมาะสม นั้นไม่เพียงแค่ช่วยให้ผิวหนังมีสุขภาพดี
แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดริ้วรอยและปัญหาผิวหนังอื่นๆ
แนะนำให้ศึกษาและค้นคว้าเกี่ยวกับการดูแลผิวหนังอย่างถูกต้อง เพื่อสุขภาพผิวหนังที่ดีและยั่งยืน
วิธีรักษาและป้องกันการเกิดริ้วรอยหน้าผาก
1.การใช้ครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของเรตินอล (Retinol)
เรตินอล (Retinol) ดีต่อผิวอย่างไร ?
จุดเด่นของเรตินอลคือมันทำหน้าที่กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และมีคุณสมบัติช่วยผลัดเซลล์ได้ดี ผลลัพธ์ที่ได้คือผิวแลดูกระจ่างใส เรียบเนียนขึ้น ริ้วรอยจุดด่างดำต่างๆ เช่น รอยสิว ริ้วรอยเล็กๆ ดูลดเลือนลง และยังเวิร์กสุดๆ กับคนที่มีปัญหาสิวต่างๆ ด้วย เพราะเรตินอลช่วยลดการอุดตันของรูขุมขน ช่วยลดการอักเสบของสิว และลดการเจริญเติบโตของเชื้อ P.acnes (Propionibacterium Acnes) แบคทีเรียตัวร้ายที่ได้ชื่อว่าเป็นต้นตอสำคัญของการเกิดสิวนั่นเอง นอกจากนี้ยังมีผลการศึกษาพบว่าเรตินอลสามารถช่วยรักษา Keratosis Pilaris หรือขนคุด ซึ่งเกิดจากภาวะทางผิวหนังที่เกิดการอุดตันบริเวณรูขุมขน มักพบว่ามีอาการผิวแห้ง เป็นปื้นหยาบ ถ้าสัมผัสดูบริเวณที่เป็นขนคุดจะรู้สึกสากๆ มือ โดยอาการเหล่านี้แท้จริงเกิดมาจากเซลล์ผิวที่ตายแล้วขึ้นแทนที่รูขุมขน จึงทำให้เกิดตุ่มตามผิว แต่มันจะไม่ทำให้คันหรือรู้สึกเจ็บ ซึ่งเรตินอลสามารถลดปัญหาขนคุดได้เช่นกัน
2. การป้องกันแสงแดด สำคัญยังไง และควรทำอย่างไร ?
การป้องกันแสงแดดเป็นขั้นตอนสำคัญในการดูแลผิวหน้า และรักษาผิวที่สุขภาพดี ในระยะยาว การป้องกันแสงแดดไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอย แต่ยังป้องกันโรคผิวหนังที่เกิดจากแสงแดด เช่น มะเร็งผิวหนังอีกด้วย
การป้องกันแสงแดด
- ใช้ครีมกันแดด เลือกครีมกันแดดที่มี SPF (Sun Protection Factor) สูง และป้องกัน UVA และ UVB
- สวมใส่เสื้อผ้า เสื้อผ้าแขนยาว หมวกแว่นตากันแดด สามารถช่วยป้องกันแสงแดดได้
- หลีกเลี่ยงแสงแดด หลีกเลี่ยงการอยู่นอกบ้านระหว่างเวลา ในช่วงเวลาที่แสงแดดจะร้อนและเข้มข้นมากที่สุด
- การเติมครีมกันแดดระหว่างวัน ทาครีมกันแดดทุก 2-3 ชั่วโมง เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพการป้องกันที่ดีที่สุด
ข้อควรระวัง !
หากมีการแพ้ผิวหนังหลังจากใช้ครีมกันแดด ควรหยุดใช้งานและปรึกษาแพทย์
การป้องกันแสงแดดควรเป็นวิธีการป้องกันแบบครบวงจร ไม่เพียงแค่ใช้ครีมกันแดดเท่านั้น
การป้องกันแสงแดดทำให้ผิวของเราหลีกเลี่ยงความเสียหายจากแสงแดด
และยืดอายุผิวในระยะยาว ทำให้ผิวมีสุขภาพดีและดูอ่อนเยาว์ต่อไป
3.การปรับเปลี่ยนวิธีการดูแลผิว
ผิวหน้าเป็นส่วนหนึ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในร่างกาย เช่น การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน สิ่งแวดล้อม และสุขภาพทั่วไปของร่างกาย ดังนั้น การดูแลผิวแบบเดิมๆ อาจไม่ตอบสนองต่อความต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงผิวของคุณ การปรับเปลี่ยนวิธีการดูแลผิวให้เหมาะสมกับสภาพผิวปัจจุบันจึงมีความสำคัญ
ปัจจัยหลัก ที่มีผลทำให้ควรปรับเปลี่ยนวิธีการดูแลผิวอยู่เสมอ
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน การมีฮอร์โมนแปรปรวน เช่น วัยรุ่น การตั้งครรภ์ การแก่ชรา ส่งผลต่อผิวหน้าทั้งหมด
- การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม การย้ายที่อยู่ การเปลี่ยนเป็นฤดูใหม่ หรือการเดินทางไปที่ที่มีสภาพอากาศต่างๆ
- การเปลี่ยนแปลงของสุขภาพ โรคผิวหนัง หรือโรคทั่วไปที่ส่งผลต่อผิวหน้า
- การใช้ยา ยาบางชนิดมีผลข้างเคียงที่ทำให้ผิวหน้าแห้ง หรือมีปัญหาอื่นๆ
ขั้นตอนการปรับเปลี่ยนวิธีการดูแลผิว
เมื่อผิวหน้าของเราเริ่มมีการเกิดริ้วรอย การดูแลผิวหน้าต้องเปลี่ยนไปตามความต้องการของผิว
ซึ่งอาจต่างจากการดูแลผิวหน้าขณะที่ยังมีอายุน้อย โดยเฉพาะผิวที่มีริ้วรอย ต้องการความชุ่มชื่น การบำรุงและการป้องกันอย่างเฉพาะเจาะจง
ดังนั้น การปรับเปลี่ยนวิธีการดูแลผิวเป็นสิ่งที่จำเป็น
- เลือกครีมบำรุงผิวที่เหมาะสม เน้นครีมที่มีส่วนผสมของเปปไทด์ (peptide) เรตินอล (Retinol) หรือสารที่ช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน
เพื่อช่วยลดความลึกของริ้วรอยหน้าผาก ครีมทั้งหมดที่ใช้ ควรใช้อย่างสม่ำเสมอเผื่อผลลัพธ์ในระยะยาว - ใช้ครีมกันแดดทุกวัน แสงยูวีทำให้ผิวเสื่อมสภาพและเกิดริ้วรอยได้ง่าย การป้องกันแสงแดดเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผิวที่มีริ้วรอย
- การเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิว การใช้ครีมหรือเซรั่มที่มีส่วนผสมของไฮยาลูรอนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) สามารถช่วยเติมความชุ่มชื่นให้กับผิว ทำให้ผิวดูนุ่มนวลและริ้วรอยดูลดลง
- การทำความสะอาดผิวด้วยความระมัดระวัง ควรเลือกครีมล้างหน้าที่อ่อนโยน และไม่ทำให้ผิวขาดความชุ่มชื่น
- การทำมาส์คผิว การใช้มาส์คผิวที่มีส่วนผสมของวิตามินซี กรดไฮยาลูรอนิค หรือวิตามินอี สามารถช่วยเสริมสร้างผิวและลดริ้วรอย
- การประคบและนวดผิว การนวดผิวหน้าและใช้เครื่องมือนวดผิว สามารถช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและการซ่อมแซมผิว
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่กระตุ้นการเกิดริ้วรอย เช่น อาหารที่มีน้ำตาลสูง แอลกอฮอล์ และอาหารที่ทำให้เกิดการอักเสบ
การดูแลผิวหน้าที่มีริ้วรอยควรเน้นการบำรุงผิวจากภายในและภายนอก
โดยการเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพผิว
และรักษาวิธีการดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งที่สำคัญ
4. Botox ริ้วรอยหน้าผาก
การใช้โบท็อกซ์ (Botox) เพื่อลดริ้วรอยบนหน้าผากเป็นหนึ่งในการรักษาด้วยกระบวนการทางเครื่องสำอางที่ได้รับความนิยมสูงสุดในวงการความงามทั่วโลก โบท็อกซ์คือชื่อแบรนด์ของสารพิษที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า botulinum toxin ซึ่งผลิตโดยแบคทีเรียชนิดหนึ่ง การฉีดโบท็อกซ์ได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาในหลายประเทศสำหรับการใช้งานทางการแพทย์และความงาม โดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อช่วยลดริ้วรอยที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อบนหน้าผาก นี่คือคำแนะนำเบื้องต้นเกี่ยวกับการใช้โบท็อกซ์บนหน้าผาก
โบท็อกซ์ทำงานโดยการปิดกั้นระบบประสาทที่กล้ามเนื้อใช้ในการหดตัว ซึ่งจะช่วยให้กล้ามเนื้อบนหน้าผากผ่อนคลายและลดการเกิดริ้วรอย ผลลัพธ์คือผิวที่ดูเรียบเนียนขึ้นและการลดลักษณะของริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงอารมณ์ เช่น ริ้วรอยหน้าผาก ริ้วรอยขมวดคิ้ว หรือร่องลึกข้างตา
ริ้วรอยหน้าผากเป็นสิ่งที่หลายคนพบเจอในช่วงอายุเริ่มเพิ่มขึ้น หรือเนื่องจากสิ่งแวดล้อม การดูแลผิวที่ไม่เหมาะสม และปัจจัยต่างๆ อีกมากมาย
ผิวหน้าเราเสื่อมสภาพด้วยการลดลงของคอลลาเจน การทำงานของกล้ามเนื้อในแต่ละบริบท และผลกระทบจากแสง UV ซึ่งล้วนส่งผลให้เกิดริ้วรอยและเสียหายต่อผิว
อย่างไรก็ตาม การดูแลผิวให้มีสุขภาพดีและป้องกันการเกิดริ้วรอยไม่ได้ยากเกินความต้องการ การป้องกันแสงแดด การใช้ครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมเหมาะกับผิวหน้า การทำมาส์คผิว และการปรับเปลี่ยนวิธีการดูแลผิวสามารถช่วยในการป้องกันและลดริ้วรอยหน้าผากได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับบางคน,การใช้วิธีการทางการแพทย์ เช่น การฉีดฟิลเลอร์หรือโบท็อกซ์ ยังเป็นทางเลือกที่สามารถช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยหน้าผากให้ลดลงอย่างรวดเร็ว
ข้อสำคัญคือ ความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับสาเหตุของการเกิดริ้วรอยและวิธีการดูแลจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้คุณมั่นใจและรู้สึกดีต่อผิวหน้าของคุณ
และด้วยการดูแลที่ถูกต้อง คุณสามารถยืดยาวการมีผิวหน้าที่แข็งแรง มีออร่า และปราศจากริ้วรอยได้อีกหลายปี