เลือกอ่านตามหัวข้อ
Toggleดัชนีมวลกาย ผู้ชาย
ดัชนีมวลกาย ผู้ชาย หรือค่า BMI (Body Mass Index) ถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่สำคัญในการประเมินสุขภาพโดยรวม โดยเฉพาะสำหรับผู้ชาย ค่า BMI ไม่เพียงแต่ช่วยให้เราทราบถึงสถานะน้ำหนักตัวในปัจจุบัน แต่ยังให้ข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยงต่อโรคต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ ตามความเข้าใจทั่วไป ค่า BMI ที่อยู่ในช่วงปกติสามารถช่วยลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ หรือเบาหวาน
การคำนวณ BMI ผู้ชายนั้นเป็นกระบวนการที่ง่ายและเข้าถึงได้ โดยใช้น้ำหนักตัวและส่วนสูงในการคำนวณ ผลลัพธ์ที่ได้จะช่วยให้ผู้ชายสามารถประเมินสถานะสุขภาพของตนเองได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย นอกจากนี้การคำนวณ BMI ผู้ชายยังเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการติดตามการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักตัวและการจัดการน้ำหนักอย่างมีสุขภาพดี ทำให้มันเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญที่ผู้ชายควรให้ความสนใจ
ค่า BMI ของผู้ชายที่อยู่ในช่วงที่เหมาะสมสามารถช่วยให้รู้สึกมั่นใจในร่างกายของตนเอง และยังช่วยส่งเสริมไลฟ์สไตล์ที่สุขภาพดี การใส่ใจกับการคำนวณ BMI ผู้ชาย ไม่ได้หมายความว่าเราจะจ้องมองตัวเลขบนตาชั่งหรือค่าที่ออกมาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่องในการรักษาความสมดุลของร่างกาย โดยการออกกำลังกายอย่างสม่ำ เสมอและรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ หรือทางเลือกอื่นๆที่สามารถสนับสนุนการคุมค่า BMI ของคุณให้สมดุล
สรุปได้ว่าการคำนวณ BMI ผู้ชายเป็นมากกว่าแค่ตัวเลขที่บ่งบอกถึงน้ำหนักตัว มันเป็นตัวชี้วัดที่สะท้อนถึงระดับสุขภาพและช่วยให้ผู้ชายสามารถเฝ้าติดตามและดูแลสุขภาพของตนเองได้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการรักษาน้ำหนักที่เหมาะสม การป้องกันโรค หรือแม้กระทั่งการปรับปรุงและรักษาคุณภาพชีวิตที่ดี ด้วยเหตุนี้ การใส่ใจและการคำนวณค่า BMI จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ชายทุกคนควรจะทำเพื่อสุขภาพที่ดีของตนเอง
ความแตกต่างของ BMI ในผู้ชายและผู้หญิง
- องค์ประกอบของร่างกาย หนึ่งในความแตกต่างหลักคือองค์ประกอบของร่างกาย ผู้ชายมักมีมวลกล้ามเนื้อมากกว่าผู้หญิง ในขณะที่ผู้หญิงมีมวลไขมันมากกว่าเมื่อเทียบกับน้ำหนักตัวรวม ด้วยเหตุนี้ ผู้หญิงที่มีค่า BMI เท่ากันกับผู้ชายอาจมีไขมันในร่างกายมากกว่า
- ความแตกต่างของช่วงค่าปกติ เนื่องจากความแตกต่างในองค์ประกอบของร่างกาย ช่วงค่า BMI ที่ถือว่าเป็นปกติอาจแตกต่างกันเล็กน้อยระหว่างเพศ ตัวอย่างเช่น ผู้หญิงอาจมีไขมันในร่างกายมากกว่าเล็กน้อยในช่วงค่า BMI ที่เท่ากันกับผู้ชายโดยไม่ถือว่ามีความเสี่ยงต่อสุขภาพ
- ความเสี่ยงต่อโรค การวิจัยแสดงให้เห็นว่าความเสี่ยงของโรคบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับน้ำหนักตัว เช่น โรคหัวใจและเบาหวาน อาจแตกต่างกันระหว่างผู้ชายและผู้หญิงที่มีค่า BMI เท่ากัน ผู้ชายมีแนวโน้มที่จะเก็บไขมันรอบๆ ช่องท้อง ซึ่งเชื่อมโยงกับความเสี่ยงสูงต่อโรคเหล่านี้มากกว่าผู้หญิง
- ปัจจัยฮอร์โมน ระดับฮอร์โมนในร่างกายของผู้ชายและผู้หญิง โดยเฉพาะอสุจิและเอสโตรเจน มีผลต่อการแบ่งปันไขมันในร่างกายและส่งผลต่อค่า BMI อย่างมีนัยสำคัญ
ทำไมความแตกต่างนี้จึงมีความสำคัญ การเข้าใจความแตกต่างของค่า BMI ระหว่างเพศมีความสำคัญเพราะช่วยให้มีการประเมินสุขภาพโดยรวมและความเสี่ยงต่อโรคที่แม่นยำยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น ผู้ชายที่มีค่า BMI ที่สูงอาจต้องพิจารณาลดน้ำหนักเพื่อลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและเบาหวานมากกว่าผู้หญิงที่มีค่า BMI เท่ากัน สำหรับผู้ชายที่ต้องการทราบค่า BMI สามารถคำนวณและอ่านบทความเพิ่มเติมที่ คำนวณ BMI ผู้หญิง ดัชนีมวลกายที่บ่งบอกถึงความอ้วน
คํานวณ BMI ผู้ชาย ยังไง
วิธีคำนวณ BMI ผู้ชาย ในการหาค่าดัชนีมวลกาย = น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) ÷ ส่วนสูง (เมตร)2
ยกตัวอย่างเช่น ผู้ชาย น้ำหนัก 70 กิโลกรัม ส่วนสูง 175 เซนติเมตร
ดัชนีมวลกาย (BMI) = 70 ÷ (1.75)2
ดัชนีมวลกาย (BMI) = 22.86
ตาราง BMI สำหรับผู้ชายที่นำเสนอด้านล่างนี้ แบ่งค่า BMI ออกเป็นหลายช่วงตามมาตรฐานสากล และอธิบายถึงสถานะน้ำหนักตัวและความเสี่ยงต่อสุขภาพหรือโรคที่อาจเกิดขึ้น
ค่า BMI | สถานะ | ความเสี่ยงต่อสุขภาพและโรค |
---|---|---|
ต่ำกว่า 18.5 | ผอม | ความเสี่ยงสูงต่อสุขภาพ เช่น ภาวะขาดสารอาหาร ภาวะกระดูกพรุน |
18.5 – 24.9 | น้ำหนักตัวปกติ | ความเสี่ยงต่ำต่อโรคเรื้อรัง |
25 – 29.9 | น้ำหนักตัวเกิน | ความเสี่ยงปานกลางต่อโรค เช่น โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ความดันสูง |
30 – 34.9 | อ้วนระดับ 1 | ความเสี่ยงสูงต่อโรค เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน บางชนิดของมะเร็ง |
35 – 39.9 | อ้วนระดับ 2 | ความเสี่ยงสูงมาก เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน มะเร็ง และปัญหาสุขภาพอื่นๆ |
40 ขึ้นไป | อ้วนระดับ 3 (อ้วนมาก) | ความเสี่ยงสูงสุดต่อโรคเรื้อรังและภาวะสุขภาพที่ร้ายแรง |
ตารางนี้ให้ข้อมูลที่มีประโยชน์ในการประเมินสถานะน้ำหนักตัวและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการคำนวณ BMI ผู้ชาย อย่างไรก็ตาม ค่า BMI ไม่ได้เป็นตัวชี้วัดเดียวในการประเมินสุขภาพโดยรวม และควรใช้ร่วมกับปัจจัยอื่นๆ เช่น การวัดเส้นรอบเอว การประเมินลักษณะการกิน และประวัติสุขภาพ การปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการยังเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ได้คำแนะนำที่เหมาะสมและครอบคลุมมากขึ้นสำหรับการจัดการน้ำหนักตัวและสุขภาพที่ดี
ค่า BMI กับ ช่วงอายุ ผู้ชาย
วัยรุ่น (อายุ 13-19 ปี) ในช่วงวัยรุ่น ร่างกายของผู้ชายมักมีการเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านการเติบโตและการพัฒนากล้ามเนื้อ ค่า BMI ในช่วงนี้อาจแปรผันได้มากขึ้นและควรเทียบเคียงกับตารางเฉพาะสำหรับวัยรุ่นเพื่อประเมินว่าอยู่ในช่วงที่เหมาะสมหรือไม่
วัยหนุ่ม (อายุ 20-40 ปี) นี่คือช่วงที่ผู้ชายมักจะมีการเผาผลาญพลังงานที่สูง แต่ก็เริ่มมีโอกาสเพิ่มน้ำหนักหากไม่มีการควบคุมอาหารหรือการออกกำลังกาย ค่า BMI ที่เหมาะสมสำหรับช่วงอายุนี้มักจะอยู่ระหว่าง 18.5 ถึง 24.9 ซึ่งเป็นช่วงที่ถือว่ามีน้ำหนักตัวปกติ
วัยกลางคน (อายุ 41-60 ปี) ในช่วงวัยกลางคนการเผาผลาญพลังงานอาจเริ่มช้าลง และผู้ชายหลายคนอาจเริ่มประสบปัญหาน้ำหนักตัวเกินหรือโรคอ้วน การรักษาค่า BMI ในช่วงที่เหมาะสมยังคงสำคัญเพื่อลดความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และความดันโลหิตสูง
วัยสูงอายุ (อายุมากกว่า 60 ปี) ในช่วงอายุนี้การรักษาค่า BMI ที่เหมาะสมยังคงสำคัญ แต่ควรให้ความสนใจเป็นพิเศษกับการรักษามวลกล้ามเนื้อและความแข็งแรงของกระดูก. ค่า BMI ที่ต่ำเกินไปอาจเป็นสัญญาณของภาวะทุพโภชนาการหรือมวลกล้ามเนื้อที่ลดลง
ค่า BMI เป็นตัวชี้วัดที่มีประโยชน์ในการประเมินสถานะน้ำหนักตัวและสุขภาพโดยรวมสำหรับผู้ชายในทุกช่วงอายุ อย่างไรก็ตาม มันจำเป็นที่จะต้องพิจารณาค่า BMI นี้พร้อมกับปัจจัยอื่นๆ เช่น องค์ประกอบของร่างกาย สุขภาพโดยรวม และประวัติทางการแพทย์ การเข้าใจความสำคัญของค่า BMI ในช่วงอายุต่างๆ ช่วยให้ผู้ชายสามารถดำเนินการปรับปรุงหรือรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในช่วงที่เหมาะสมเพื่อสุขภาพที่ดีทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
เกณฑ์น้ำหนัก ส่วนสูง ผู้ชาย
ตารางนี้จะใช้ข้อมูลทั่วไปในการประเมินน้ำหนักที่เหมาะสมสำหรับส่วนสูงต่างๆ ตารางนี้เป็นเพียงค่าประมาณและควรใช้เป็นแนวทางเบื้องต้นเท่านั้น น้ำหนักที่เหมาะสมอาจแตกต่างกันไปตามองค์ประกอบของกล้ามเนื้อ กระดูก และปัจจัยอื่นๆ
ส่วนสูง (เซนติเมตร) | น้ำหนักต่ำสุด (กิโลกรัม) | น้ำหนักปกติ (กิโลกรัม) | น้ำหนักสูงสุด (กิโลกรัม) |
---|---|---|---|
160 | 51 | 55 - 68 | 72 |
165 | 54 | 58 - 72 | 76 |
170 | 57 | 61 - 76 | 81 |
175 | 60 | 65 - 80 | 86 |
180 | 63 | 68 - 84 | 91 |
185 | 66 | 71 - 89 | 97 |
190 | 69 | 75 - 94 | 102 |
195 | 72 | 78 - 99 | 108 |
200 | 76 | 81 - 104 | 113 |
วิธีเพิ่มค่า BMI สำหรับผู้ชาย ที่มีค่า BMI ต่ำ
การเพิ่มค่า BMI ผู้ชาย ที่มีค่า BMI ต่ำเป็นกระบวนการที่ควรมีการวางแผนที่ดี เพื่อให้แน่ใจว่าน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นเป็นน้ำหนักที่มีคุณภาพและไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ เราจึงรวบรวมแนวทางเบื้องต้นในการเพิ่มค่า BMI สำหรับผู้ชายมาให้คุณ
- ปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการ ก่อนเริ่มกระบวนการเพิ่มน้ำหนัก มันสำคัญที่จะได้รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำความเข้าใจถึงสาเหตุที่อาจทำให้ค่า BMI ต่ำและวางแผนที่เหมาะสม
- เพิ่มปริมาณแคลอรี่ในอาหาร เพิ่มปริมาณแคลอรี่ที่รับประทานในแต่ละวัน แต่ควรเน้นที่อาหารที่มีคุณภาพ เช่น แหล่งโปรตีนที่ดี คาร์โบไฮเดรตที่ไม่ผ่านการแปรรูปมาก และไขมันที่ดีต่อสุขภาพ แต่ควรหลีกเลี่ยงอาหารขยะและอาหารที่มีแคลอรี่สูงแต่ไม่มีคุณค่า แม้ว่าอาหารเหล่านี้อาจช่วยเพิ่มน้ำหนักได้อย่างรวดเร็ว แต่มักจะส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว
- เน้นโปรตีนและอาหารที่มีประโยชน์ โปรตีนช่วยในการสร้างกล้ามเนื้อและสนับสนุนการเพิ่มน้ำหนักที่มีคุณภาพ อาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น เนื้อไก่ ปลา ถั่ว และเต้าหู้เป็นตัวเลือกที่ดี
- ออกกำลังกายและฝึกกล้ามเนื้อ การออกกำลังกายสำหรับผู้ชาย ควรเน้นเฉพาะการฝึกกล้ามเนื้อ เป็นส่วนสำคัญในการเพิ่มน้ำหนักอย่างมีสุขภาพดี การฝึกกล้ามเนื้อช่วยให้น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นเป็นกล้ามเนื้อมากกว่าไขมัน นำไปสู่การปรับปรุงค่า BMI ในแบบที่มีสุขภาพดี
- รับประทานอาหารบ่อยขึ้น แทนที่จะรับประทานอาหารมื้อใหญ่ 2-3 มื้อต่อวัน ลองเปลี่ยนไปรับประทานอาหารเล็กๆ หลายมื้อตลอดทั้งวันจะช่วยให้ร่างกายได้รับแคลอรี่และสารอาหารอย่างต่อเนื่อง
- เลือกอาหารเสริมที่เหมาะสมห ในบางกรณี อาหารเสริมเช่นเวย์โปรตีนหรือเครื่องดื่มเพิ่มน้ำหนักอาจเป็นตัวเลือกที่ดีเพื่อช่วยให้รับประทานแคลอรี่และโปรตีนเพียงพอ
การเพิ่มค่า BMI ในแบบที่สุขภาพดีควรมุ่งเน้นไปที่การสร้างกล้ามเนื้อและการเพิ่มน้ำหนักอย่างค่อยเป็นค่อยไป มีความสมดุล และยั่งยืน การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วหรือการพึ่งพาวิธีการที่ไม่มีสุขภาพดีอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว
วิธีลดค่า BMI สำหรับผู้ชายที่มีค่า BMI สูง
การลดค่า BMI สำหรับคนที่คำนวณ BMI ผู้ชาย ออกมาสูงจำเป็นต้องเน้นไปที่การลดน้ำหนักอย่างมีสุขภาพดีและยั่งยืน นี่คือแนวทางหลักที่เรารวบรวมมาเพื่อช่วยให้คุณลดน้ำหนักหรือค่า BMI ได้สำเร็จ
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ ก่อนเริ่มแผนการลดน้ำหนัก ควรปรึกษากับแพทย์หรือนักโภชนาการเพื่อวางแผนที่เหมาะสมและปลอดภัย
- สร้างแผนการรับประทานอาหารที่สมดุล ลดปริมาณแคลอรี่ที่รับประทานเข้าร่างกาย แต่ก็ต้องแน่ใจว่าได้รับสารอาหารที่จำเป็น เน้นอาหารที่มีไฟเบอร์สูง เช่น ผัก ผลไม้ และธัญพืชไม่ขัดสี พร้อมกับแหล่งโปรตีนที่มีคุณภาพ
- เพิ่มกิจกรรม ผสานการออกกำลังลังกายทั้งหนักและเบา เช่น การยกน้ำหนักและการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ เสริมเข้าไปในกิจกรรมประจำวัน การออกกำลังกายไม่เพียงช่วยเผาผลาญแคลอรี่ แต่ยังเพิ่มกล้ามเนื้อซึ่ง ช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย การลด BMI ผู้ชายจะเน้นไปในการเพิ่มโปรตีนเป็นสิ่งสำคัญ
- กำหนดเป้าหมายที่เป็นจริงได้ ตั้งเป้าหมายลดน้ำหนักในอัตราที่สมเหตุสมผล เช่น 0.5 ถึง 1 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ การลดน้ำหนักอย่างช้าๆ มักจะยั่งยืนกว่าการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว
- หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปและขนมหวาน อาหารเหล่านี้มักมีแคลอรี่สูงแต่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ การลดหรือหลีกเลี่ยงอาหารประเภทนี้สามารถช่วยในการลดน้ำหนักได้อย่างยั่งยืนและส่งผลดีต่อสุขภาพ
- การนอนหลับที่เพียงพอ การนอนหลับที่ไม่เพียงพอสามารถกระตุ้นความอยากอาหารและลดการเผาผลาญพลังงาน ดังนั้น การนอนหลับเพียงพอ (ประมาณ 7-8 ชั่วโมงต่อคืน) เป็นสิ่งสำคัญในแผนการลดน้ำหนัก
- คงความมุ่งมั่นและตระหนักรู้ในระยะยาว การลดน้ำหนักและลดค่า BMI เป็นกระบวนการระยะยาวที่ต้องใช้ความมุ่งมั่นและความต่อเนื่อง ไม่ควรหมดกำลังใจหากไม่เห็นผลทันที
การลดน้ำหนักอย่างมีสุขภาพดีจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนในวิถีชีวิต ไม่ใช่แค่การรักษาอาหารอย่างเข้มงวดชั่วคราว. การรับคำปรึกษาจากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญจะช่วยให้คุณได้แผนการที่ปลอดภัยและเหมาะสมกับคุณ
ตัวช่วยควบคุมและลดค่า BMI ผู้ชาย
การติดตามค่า BMI (ดัชนีมวลกาย) สำหรับผู้ชายเป็นส่วนสำคัญในการดูแลสุขภาพและการจัดการน้ำหนักตัว ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบัน มีเครื่องมือและแอปพลิเคชันมากมายที่ช่วยให้การคำนวณและติดตามค่า BMI ทำได้ง่ายและแม่นยำขึ้น ในยุคปัจจุบันหลายๆ คนหันมาพึ่งเทคโนโลยี ซึ่งมีประโยชน์จริงๆ ยกตัวอย่าง เช่น
- MyFitnessPal แอปนี้ไม่เพียงแต่ช่วยคำนวณค่า BMI แต่ยังช่วยติดตามการรับประทานอาหารและกิจกรรมทางกาย MyFitnessPal มีฐานข้อมูลอาหารขนาดใหญ่ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถบันทึกและวิเคราะห์การรับประทานอาหารได้อย่างละเอียด.
- BMI Calculator by AppAspect Technologies แอปนี้เป็นเครื่องมือที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมาสำหรับการคำนวณค่า BMI ผู้ใช้สามารถป้อนข้อมูลเกี่ยวกับส่วนสูงและน้ำหนักเพื่อรับค่า BMI และคำแนะนำเกี่ยวกับสถานะน้ำหนักของตน
- Fitbit แอป Fitbit ไม่เพียงแต่ติดตามกิจกรรมทางกายและการนอนหลับ แต่ยังสามารถติดตามน้ำหนักตัวและค่า BMI เมื่อใช้ร่วมกับอุปกรณ์ติดตามกิจกรรมของ Fitbit แอปนี้ช่วยให้ผู้ใช้ได้รับภาพรวมที่ครอบคลุมของสุขภาพและการออกกำลังกาย
- Google Fit Google Fit เป็นแอปพลิเคชันที่ช่วยในการติดตามกิจกรรมทางกายและการออกกำลังกาย. แม้ว่ามันอาจไม่มีฟีเจอร์คำนวณค่า BMI โดยตรง, แต่มันช่วยให้ผู้ใช้ติดตามน้ำหนักและกิจกรรมทางกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญในการจัดการค่า BMI.
นอกเหนือจากวิธีเหล่านี้แล้วนั้น ตัวช่วยที่ผู้ชายหลายๆ คนหันมาใช้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาคือ โปรตีนเสริม ด้วยการทานโปรตีนทดแทน จึงทำให้มีโปรตีนทดแทนหลากหลายยี่ห้อในท้องตลาดผุดขึ้นมาอย่างมากมาย เพราะเป็นตัวเลือกที่ง่ายก็การทาน ง่ายต่อการที่ร่างกายนำไปใช้ และอีกทางเลือกคือ วิตามินหรืออาหารเสริม ที่จะเป็นตัวช่วยลดปัจจัยต่างๆ ที่จะทำให้น้ำหนัก และค่า BMI ผู้ชายนั้นเพิ่มขึ้น แต่ช่วยให้เรานั้นไม่ต้องพยายามในการควบคุมอาหารหรือการหักโหมออกกำลังกาย เพื่อลดค่าเหล่านั้น แต่อาหารเสริมพวกนี้จะช่วยเข้าไปกระตุ้นให้ร่างกายเรา ขจัดไขมันส่วนเกินและส่งเสริมระบบเผาผลาญได้ดียิ่งขึ้น ทำให้ค่า BMI ผู้ชายที่ลดลงยากกว่าผู้หญิงนั้น ลดลงอย่างเห็นผล และไม่ต้องหักโหมกับตัวเองจนมากเกินไป
แล้วอาหารเสริมตัวไหนล่ะที่จะเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคุณ ?
ตัวช่วยจากโรงพยาบาลยันฮี
ยันฮีคอลลินพลัส (Yanhee Callyn Plus)
โรงพยาบาลยันฮี โรงพยาบาลที่โดดเด่นเรื่องสุขภาพและความงาม รวมไปถึงอีกด้านที่โดดเด่นคือ ด้านการควบคุมน้ำหนักได้เล็งเห็นว่าคนไทยในปัจจุบันมีค่า BMI ที่สูง โดยเฉพาะผู้ชายนั้นมีค่า BMI สูงและลดลงยากกว่าผู้หญิง จึงคิดค้นและวิจัยทางเลือกใหม่สำหรับผู้ที่ต้องการ ลดน้ำหนัก ลดความอ้วน และลดค่า BMI สำหรับผู้ชาย เป็นช่วยที่สามารถใช้ได้เองง่ายๆ ที่บ้าน โดยไม่ต้องไปถึงโรงพยาบาล โดย ยันฮีคอลลินพลัสถูกพูดถึงอย่างแพร่หลาย มีรีวิวจากผู้ใช้จริงที่ผ่านการลดน้ำหนักสำเร็จและค่า BMI กลับสู่ปกติมาแล้วหลายคน อยากให้คุณได้ลองอ่านรีวิวด้วยตัวเองว่าทำไมต้อง ยันฮีคอลลินพลัส (Yanhee callyn plus)
ยันฮีคอลลินพลัส (Yanhee Callyn Plus) ตัวช่วยที่คุณมั่นใจได้ว่าปลอดภัย
ได้รับการอนุมัติจาก อย. | เลขอย. 12-1-4844150031
- สารสกัดจากเมล็ดมะม่วงแอฟริกันเอกสิทธิ์ของทางยันฮี สารสกัดนี้ช่วยในการเสริมสร้างฮอร์โมนเลปติน (ฮอร์โมนที่ช่วยให้ร่างกายรู้สึกอิ่มเร็ว) ซึ่งช่วยให้รู้สึกอิ่มเร็วและลดความอยากอาหาร หนึ่งสามาเหตุเพราะรับประทานอาหารมากเกินไป จึงทำให้ค่า BMI นั้นสูงมาก
- แอลคาร์นิทีน เป็นกรดอะมิโนที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ช่วยลำเลียงกรดไขมันเข้าไปในเซลล์ของไมโทคอนเดียส ซึ่งไขมันส่วนเกินสามารถสลายตัวและเปลี่ยนเป็นพลังงาน ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยเผาผลาญไขมันใต้ผิวหนัง เพิ่มระดับพลังงานของร่างกาย ช่วยให้ความสามารถในการออกกำลังกายเพิ่มขึ้น ช่วยในการทำงานของตับ
โดยสารสกัดจากธรรมชาติเหล่านี้ ปลอดภัยไม่ส่งผลต่อระบบประสาท ผ่านการคิดค้นและวิจัยโดยทีมแพทย์โรงพยาบาลยันฮี และผลิตโดยโรงงานยาระดับประเทศ ยันฮีคอลลินพลัส จึงเป็นผลิตภัณฑ์ที่คนลดน้ำหนักกล่าวถึงมากที่สุดในขณะนี้ ไม่ว่าคุณจะมีค่า BMI อยู่ในเกณฑ์ไหน ยันฮีคอลลินพลัส ก็จบปัญหาน้ำหนักของคุณได้ อย่างปลอดภัยและเห็นผลจริง
หรือคุณยังประสบกับปัญหาการลดน้ำหนักด้วยปจจัยอื่นๆ มากมาย เมื่อเช็คค่า BMI แล้วพบว่าเกินกว่าเกณฑ์ อีกทางเลือกหนึ่งที่คุณเริ่มได้เลยตอนนี้คือ การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ ที่จะช่วยประเมินแผนการลดค่า BMI ของคุณได้