การลดน้ำหนักเป็นเป้าหมายที่หลายคนต้องการบรรลุ และหนึ่งใน วิธีลดน้ำหนัก ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบันคือ Intermittent Fasting (IF) หรือการอดอาหารเป็นช่วง ซึ่งเป็นแนวทางที่ช่วยให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้ดีขึ้น โดยการจำกัดช่วงเวลารับประทานอาหารในแต่ละวัน แทนที่จะเน้นการควบคุมปริมาณแคลอรี่ในทุกมื้อ
IF มีกี่แบบ เป็นคำถามที่หลายคนสงสัย เนื่องจากแนวทางนี้ไม่ได้มีแค่รูปแบบเดียว แต่มีหลายประเภทที่สามารถเลือกใช้ให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์และเป้าหมายของแต่ละบุคคล โดยหลักการทำงานของ IF คือการให้ร่างกายมีช่วงเวลาพักจากการย่อยอาหาร ทำให้ระดับอินซูลินลดลง และกระตุ้นให้ร่างกายดึงพลังงานจากไขมันสะสมมาใช้ ซึ่งช่วยส่งเสริมการลดไขมันและการลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เหตุผลที่ IF ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในการ ลดน้ำหนัก คือความยืดหยุ่นในการปฏิบัติ สามารถเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของแต่ละคนได้ อีกทั้งยังช่วยปรับสมดุลของร่างกาย ลดการอักเสบ และอาจมีผลดีต่อสุขภาพในระยะยาว อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก IF มีหลายรูปแบบ แต่ละแบบมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันไป การทำความเข้าใจว่า IF มีกี่แบบ และแบบไหนเหมาะกับใครจึงเป็นสิ่งสำคัญ ในบทความนี้จะพาคุณไปรู้จักประเภทของ IF แต่ละแบบ พร้อมข้อดีและข้อเสียของแต่ละประเภท เพื่อให้สามารถเลือก วิธีลดน้ำหนัก ที่เหมาะกับตัวเองมากที่สุด และได้ผลลัพธ์ที่ดีต่อสุขภาพในระยะยาว
เลือกอ่านตามหัวข้อ
ToggleIF มีกี่แบบ
รู้จัก 6 ประเภทหลักของการอดอาหารเป็นช่วง
Intermittent Fasting หรือการอดอาหารเป็นช่วง เป็นหนึ่งใน วิธีลดน้ำหนัก ที่ได้รับความนิยมทั่วโลก เนื่องจากสามารถช่วยควบคุมแคลอรี กระตุ้นการเผาผลาญไขมัน และมีประโยชน์ต่อสุขภาพโดยรวม อย่างไรก็ตาม หลายคนอาจสงสัยว่า IF มีกี่แบบ และแต่ละแบบแตกต่างกันอย่างไร โดยทั่วไป IF มีหลายประเภท แต่ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดมีทั้งหมด 6 รูปแบบ ซึ่งแต่ละแบบมีวิธีปฏิบัติที่แตกต่างกัน รวมถึงข้อดีและข้อเสียที่ควรพิจารณา การเลือกวิธีที่เหมาะสมจะช่วยให้สามารถปรับตัวและทำ IF ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
1. IF 16/8 อดอาหาร 16 ชั่วโมง กินได้ในช่วง 8 ชั่วโมง
เป็นหนึ่งในรูปแบบของ วิธีลดน้ำหนัก ที่ทำได้ง่ายและเป็นที่นิยมมากที่สุด โดยสามารถกำหนดช่วงเวลากินตามไลฟ์สไตล์ เช่น กินอาหารระหว่าง 12.00 – 20.00 น. และอดอาหารหลังจากนั้น
เหมาะสำหรับ
- ผู้ที่เริ่มต้นทำ IF และต้องการปรับตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป
- คนที่มีตารางชีวิตแน่นอน และสามารถควบคุมเวลาอาหารได้
หลักการทำงาน การอดอาหาร 16 ชั่วโมงช่วยให้ร่างกายมีเวลาสลายไกลโคเจนและใช้ไขมันสะสมเป็นพลังงาน ซึ่งส่งผลต่อการลดไขมันและช่วยควบคุมน้ำหนัก
2. IF 5:2 กินปกติ 5 วัน อด 2 วันต่อสัปดาห์
IF รูปแบบนี้เป็นการกินอาหารตามปกติ 5 วัน และลดปริมาณแคลอรีเหลือเพียง 500-600 กิโลแคลอรีใน 2 วันที่เลือก
เหมาะสำหรับ
- คนที่ต้องการปรับพฤติกรรมการกินโดยไม่ต้องจำกัดเวลาทุกวัน
- ผู้ที่ต้องการลดไขมันสะสม แต่ยังต้องการกินอาหารตามปกติในบางวัน
หลักการทำงาน การลดแคลอรีในบางวันช่วยลดปริมาณพลังงานโดยรวมที่ร่างกายได้รับ และช่วยให้การลดน้ำหนักเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ต้องอดอาหารทุกวัน
3. OMAD (One Meal a Day) กินวันละมื้อเดียว
เป็นรูปแบบของ IF ที่เคร่งครัดมากที่สุด โดยจะกินเพียง 1 มื้อภายใน 1 ชั่วโมง และอดอาหารตลอด 23 ชั่วโมงที่เหลือ
เหมาะสำหรับ
- ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วและสามารถควบคุมอาหารได้ดี
- คนที่เคยทำ IF มาก่อนและต้องการเพิ่มความเข้มข้นในการอดอาหาร
หลักการทำงาน OMAD ช่วยให้ร่างกายเข้าสู่สภาวะเผาผลาญไขมันได้เร็วขึ้น แต่ต้องระมัดระวังเรื่องการขาดสารอาหาร และควรวางแผนมื้ออาหารให้มีสารอาหารครบถ้วน
4. Alternate-Day Fasting อดวันเว้นวัน
รูปแบบนี้เป็นการอดอาหารสลับวัน โดยในวันที่อดสามารถกินได้เพียง 500-600 กิโลแคลอรี หรือบางคนเลือกอดแบบไม่กินเลย
เหมาะสำหรับ
- คนที่มีวินัยสูงและสามารถอดอาหารเป็นเวลานานได้
- ผู้ที่ต้องการลดไขมันสะสมอย่างจริงจัง
หลักการทำงาน การอดอาหารวันเว้นวันช่วยให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานจากไขมันสะสมได้มากขึ้น แต่ต้องควบคุมปริมาณอาหารในวันที่กินปกติเพื่อป้องกันการบริโภคแคลอรีเกิน
5. Eat-Stop-Eat อดอาหาร 24 ชั่วโมง 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์
เป็นการอดอาหารต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง เช่น อดตั้งแต่หลังมื้อเย็นของวันหนึ่งไปจนถึงมื้อเย็นของอีกวันหนึ่ง
เหมาะสำหรับ
- คนที่ต้องการรีเซ็ตร่างกายและลดปริมาณแคลอรีอย่างมีประสิทธิภาพ
- ผู้ที่มีประสบการณ์กับ IF มาก่อน และสามารถควบคุมความหิวได้
หลักการทำงาน ร่างกายจะเข้าสู่โหมดเผาผลาญไขมันได้ดีขึ้น แต่ต้องระวังไม่ให้กินอาหารชดเชยมากเกินไปในวันถัดไป
6. The Warrior Diet อดอาหาร 20 ชั่วโมง กินในช่วง 4 ชั่วโมง
เป็นรูปแบบที่อิงจากวิถีชีวิตนักรบในอดีต โดยจะอดอาหาร 20 ชั่วโมง และกินอาหารได้ในช่วงเวลา 4 ชั่วโมง
เหมาะสำหรับ
- คนที่ต้องการลดน้ำหนักแบบเร่งด่วน
- ผู้ที่ชอบการกินมื้อใหญ่และสามารถอดอาหารได้เป็นเวลานาน
หลักการทำงาน ช่วยให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะเผาผลาญไขมันได้รวดเร็ว แต่ต้องเลือกอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการในช่วงที่กินเพื่อป้องกันการขาดสารอาหาร
เปรียบเทียบ 6 ประเภทของ IF พร้อมข้อดี-ข้อเสีย
การทำ Intermittent Fasting (IF) เป็นหนึ่งในวิธีลดน้ำหนักที่ได้รับความนิยมอย่างมาก แต่หลายคนอาจสงสัยว่า IF มีกี่แบบ และแต่ละประเภทมีความแตกต่างกันอย่างไร บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจประเภทของ IF พร้อมข้อดีและข้อเสียของแต่ละแบบ เพื่อให้สามารถเลือกวิธีลดน้ำหนักที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของตัวเอง
1. IF 16/8 อด 16 ชั่วโมง กิน 8 ชั่วโมง
ข้อดี
- เป็นรูปแบบที่ทำได้ง่าย เหมาะกับมือใหม่
- ช่วยลดน้ำหนักโดยไม่ต้องคุมแคลอรีมาก
- มีงานวิจัยรองรับว่าสามารถช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
ข้อเสีย
- อาจรู้สึกหิวในช่วงแรก โดยเฉพาะคนที่ไม่เคยอดอาหารมาก่อน
- จำเป็นต้องวางแผนมื้ออาหารให้ดีเพื่อให้ได้รับสารอาหารครบถ้วน
2. IF 5:2 กินปกติ 5 วัน อด 2 วัน
ข้อดี
- ไม่ต้องจำกัดช่วงเวลากินทุกวัน จึงมีความยืดหยุ่นสูง
- เป็นวิธีลดน้ำหนักที่สามารถทำได้ระยะยาว
- กระตุ้นระบบเผาผลาญและช่วยลดไขมันสะสมในร่างกาย
ข้อเสีย
- ในวันที่ต้องอด อาจทำให้รู้สึกหิวมากและอ่อนเพลีย
- หากวางแผนอาหารไม่ดี อาจเกิดภาวะขาดพลังงาน
3. OMAD (One Meal a Day) กินวันละมื้อเดียว
ข้อดี
- ช่วยลดน้ำหนักได้รวดเร็ว เพราะร่างกายมีช่วงอดอาหารที่นานขึ้น
- ส่งเสริมการเผาผลาญไขมันและช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญ
ข้อเสีย
- มีความเสี่ยงต่อภาวะขาดสารอาหาร หากไม่ได้รับสารอาหารที่เพียงพอในมื้อเดียว
- ไม่เหมาะกับทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับระบบเผาผลาญ
4. Alternate-Day Fasting อดวันเว้นวัน
ข้อดี
- มีประสิทธิภาพสูงในการลดน้ำหนัก เพราะช่วยให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานจากไขมันได้ดี
- มีงานวิจัยสนับสนุนว่าช่วยลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจและเบาหวาน
ข้อเสีย
- เป็นรูปแบบที่ทำได้ยากและต้องมีวินัยสูง
- อาจทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย และอาจส่งผลต่อสมรรถภาพการทำงานในชีวิตประจำวัน
5. Eat-Stop-Eat อดอาหาร 24 ชั่วโมง 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์
ข้อดี
- ช่วยล้างระบบเผาผลาญ ทำให้ร่างกายใช้พลังงานจากไขมันสะสมได้ดีขึ้น
- มีความยืดหยุ่น เพราะสามารถเลือกวันอดอาหารได้เอง
ข้อเสีย
- อาจทำให้เกิดอาการเวียนหัวและอ่อนเพลีย หากร่างกายปรับตัวไม่ทัน
- ต้องวางแผนมื้ออาหารให้ดีเพื่อให้ได้รับพลังงานและสารอาหารเพียงพอ
6. The Warrior Diet อด 20 ชั่วโมง กิน 4 ชั่วโมง
ข้อดี
- ส่งเสริมให้ร่างกายใช้ไขมันเป็นพลังงานมากขึ้น
- ช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญและอาจช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ
ข้อเสีย
- เป็นวิธีที่ค่อนข้างเคร่งครัดและอาจทำให้รู้สึกหิวมากในช่วงอดอาหาร
- ไม่เหมาะกับผู้ที่เพิ่งเริ่มทำ IF เพราะอาจส่งผลต่อระดับพลังงานในระหว่างวัน
วิธีเลือก IF ที่เหมาะกับเป้าหมายการลดน้ำหนักของคุณ
หากคุณกำลังมองหาวิธีลดน้ำหนักที่ได้ผล การทำ Intermittent Fasting หรือ IF เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ได้รับความนิยม แต่เนื่องจาก IF มีกี่แบบ และแต่ละแบบมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน การเลือกให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์และเป้าหมายของตนเองจึงเป็นสิ่งสำคัญ
เลือก IF ตามไลฟ์สไตล์และเป้าหมาย
สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นและยังไม่เคยลองทำ IF มาก่อน การเลือกวิธีที่ง่ายและไม่กดดันจนเกินไปเป็นสิ่งสำคัญ IF 16/8 และ IF 5:2 เป็นสองรูปแบบที่แนะนำสำหรับมือใหม่ เพราะสามารถปรับเข้ากับชีวิตประจำวันได้ง่าย
- IF 16/8 เป็นรูปแบบที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะสามารถกำหนดช่วงอดอาหารและช่วงรับประทานได้อย่างยืดหยุ่น เช่น อดอาหาร 16 ชั่วโมง และกินภายใน 8 ชั่วโมง วิธีนี้ช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้ดีขึ้น และยังสามารถทำร่วมกับการควบคุมอาหารเพื่อให้การลดน้ำหนักมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- IF 5:2 เป็นอีกหนึ่งวิธีลดน้ำหนักที่ไม่ต้องอดอาหารทุกวัน โดยใน 1 สัปดาห์ สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติ 5 วัน และจำกัดแคลอรี่ใน 2 วันที่เหลือ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมปริมาณแคลอรี่โดยไม่ต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตมากเกินไป
IF ที่เหมาะสำหรับการลดน้ำหนักเร่งด่วน
สำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็ว อาจเลือก OMAD (One Meal a Day) หรือ Warrior Diet ซึ่งเป็นรูปแบบที่มีระยะเวลาการอดอาหารยาวนานกว่า
- OMAD หรือการรับประทานอาหารเพียงหนึ่งมื้อต่อวัน เป็นวิธีที่ช่วยกระตุ้นการเผาผลาญไขมันอย่างรวดเร็ว แต่ก็ต้องระวังไม่ให้ขาดสารอาหาร เพราะมีโอกาสที่ร่างกายจะไม่ได้รับพลังงานและสารอาหารที่เพียงพอ
- Warrior Diet เป็นการอดอาหาร 20 ชั่วโมง และรับประทานภายใน 4 ชั่วโมง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเผาผลาญไขมันและกระตุ้นการทำงานของร่างกายให้ดึงไขมันสะสมออกมาใช้ วิธีนี้อาจเหมาะกับผู้ที่มีประสบการณ์ในการทำ IF มาก่อนและสามารถควบคุมอาหารได้ดี
ข้อควรระวังในการทำ IF
การทำ Intermittent Fasting หรือ IF เป็นหนึ่งใน วิธีลดน้ำหนัก ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันและปรับปรุงระบบเผาผลาญพลังงาน อย่างไรก็ตาม แม้ว่า IF จะมีหลายประเภท หลายคนอาจสงสัยว่า IF มีกี่แบบ และแบบใดเหมาะสมกับตัวเอง แต่สิ่งสำคัญที่ควรรู้ก่อนเริ่มทำ IF คือ การปฏิบัติให้ถูกต้องและปลอดภัย เพื่อลดความเสี่ยงต่อสุขภาพ ด้านล่างนี้คือข้อควรระวังที่ต้องคำนึงถึง
1. ระวังอาการขาดสารอาหาร การอดอาหารเป็นช่วงเวลานานอาจส่งผลให้ร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ โดยเฉพาะผู้ที่เลือกทำ IF แบบ OMAD (One Meal a Day) หรือ Eat-Stop-Eat ซึ่งมีช่วงเวลาการรับประทานอาหารที่สั้นมาก หากเลือกอาหารที่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน อาจทำให้เกิดอาการขาดวิตามิน แร่ธาตุ และพลังงาน ส่งผลต่อระบบเผาผลาญและอาจทำให้ร่างกายอ่อนแอลง ดังนั้น ผู้ที่ต้องการใช้ วิธีลดน้ำหนัก ด้วย IF ควรวางแผนมื้ออาหารให้ครบหมู่
2. ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ แม้ว่า IF จะเน้นการจำกัดช่วงเวลาการกินอาหาร แต่ไม่ได้หมายความว่าควรละเลยการดื่มน้ำ น้ำเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและช่วยลดอาการข้างเคียงจากการทำ IF เช่น ปวดหัว วิงเวียน หรืออาการขาดน้ำ นอกจากนี้ การดื่มน้ำมากพอยังช่วยควบคุมความหิวและทำให้กระบวนการเผาผลาญทำงานได้ดีขึ้น การเลือกดื่มน้ำเปล่า ชาสมุนไพร หรือเครื่องดื่มที่ไม่มีแคลอรีระหว่างช่วงอดอาหารจึงเป็นวิธีที่ดีในการสนับสนุนการทำ IF อย่างปลอดภัย
3. เลือกอาหารที่มีประโยชน์ในช่วงกิน หลายคนที่ทำ IF โดยหวังผลเรื่อง ลดน้ำหนัก มักเข้าใจผิดว่าช่วงเวลาที่กินสามารถกินอะไรก็ได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงโภชนาการ ความเข้าใจนี้อาจทำให้ร่างกายได้รับแคลอรีส่วนเกินและส่งผลให้การทำ IF ไม่ได้ผลตามที่คาดหวัง อาหารที่ควรเลือกรับประทานในช่วงเวลาที่กินควรเป็นอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน ได้แก่ โปรตีนคุณภาพดี คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ไขมันดี และไฟเบอร์จากผักผลไม้ การรับประทานอาหารที่ดีจะช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ ลดความหิวระหว่างช่วงอดอาหาร และช่วยให้ร่างกายปรับตัวเข้ากับ IF ได้ดียิ่งขึ้น
4. ไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาสุขภาพบางประเภท แม้ว่า IF จะมีประโยชน์หลายด้าน แต่ก็ไม่ใช่วิธีที่เหมาะสำหรับทุกคน ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพบางประเภท เช่น ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตต่ำ ผู้ที่มีประวัติการรับประทานอาหารผิดปกติ (Eating Disorder) หรือหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร ควรหลีกเลี่ยงการทำ IF หรือปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มต้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการรับประทานอาหารอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว สำหรับผู้ที่ต้องการใช้ วิธีลดน้ำหนัก ด้วย IF ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ IF มีกี่แบบ และเลือกประเภทที่เหมาะสมกับสุขภาพของตนเองมากที่สุด การทำ IF อย่างปลอดภัยจำเป็นต้องอาศัยความเข้าใจเกี่ยวกับรูปแบบการอดอาหาร การเลือกอาหารที่เหมาะสม และการฟังสัญญาณของร่างกาย การปรับตัวให้เข้ากับ IF อาจต้องใช้เวลา ดังนั้น ควรเริ่มต้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป และหากมีอาการผิดปกติ ควรหยุดและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางสุขภาพเพื่อความปลอดภัย
Intermittent Fasting หรือ IF เป็นวิธีลดน้ำหนักที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน เพราะช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ต้องพึ่งยาหรืออาหารเสริม การทำ IF ไม่ได้มีเพียงรูปแบบเดียว แต่มีหลายปร
ะเภท ซึ่งแต่ละแบบมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป อย่างไรก็ตาม ในบรรดารูปแบบที่มีอยู่ 6 ประเภทหลักถือว่าเป็นที่นิยมและมีการนำไปใช้กันอย่างแพร่หลาย การเลือก วิธีลดน้ำหนัก ด้วย IF ให้ได้ผล ขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์และความสามารถในการปรับตัวของแต่ละบุคคล มือใหม่ที่ต้องการลองทำ IF ควรเริ่มจากรูปแบบที่ง่าย เช่น 16/8 หรือ 5:2 ซึ่งสามารถทำได้ง่ายกว่าและไม่ส่งผลกระทบต่อร่างกายในช่วงแรก เมื่อร่างกายปรับตัวได้แล้วจึงค่อยปรับไปใช้รูปแบบอื่นที่เข้มงวดขึ้น เช่น OMAD หรือ Alternate-Day Fasting เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น
แม้ว่า IF จะเป็นหนึ่งใน วิธีลดน้ำหนัก ที่มีประสิทธิภาพ แต่การทำ IF ให้ปลอดภัยและเห็นผลในระยะยาว จำเป็นต้องทำอย่างมีวินัยและคำนึงถึงสุขภาพเป็นหลัก การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ในช่วงที่กิน ดื่มน้ำให้เพียงพอ และสังเกตปฏิกิริยาของร่างกายเป็นสิ่งสำคัญ นอกจากนี้ ผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือมีข้อจำกัดทางสุขภาพ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนเริ่มทำ IF เพื่อให้แน่ใจว่าวิธีนี้เหมาะสมกับตนเอง
สุดท้ายนี้ IF มีกี่แบบ คำตอบคือมีหลายประเภท และไม่มีแบบไหนดีที่สุดสำหรับทุกคน การเลือกรูปแบบที่เหมาะสมและสามารถทำได้ต่อเนื่องในระยะยาวจะช่วยให้การลดน้ำหนักเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด การทำ IF ไม่ใช่แค่การอดอาหารเป็นช่วงเท่านั้น แต่เป็นการปรับพฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิตที่ช่วยให้สุขภาพดีขึ้น ควบคู่ไปกับการบรรลุเป้าหมายในการลดน้ำหนักอย่างยั่งยืน












