IF 28

ไขข้อสงสัย IF มีกี่แบบ แบบไหนลดไขมันเร็วที่สุด

ในปัจจุบัน Intermittent Fasting (IF) เป็นหนึ่งใน วิธีลดน้ำหนัก ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่ต้องการลดไขมัน ปรับปรุงระบบเผาผลาญ และควบคุมน้ำหนักอย่างมีประสิทธิภาพ หลักการของ IF คือการกำหนดช่วงเวลาในการกินอาหารและช่วงเวลาที่อดอาหาร ซึ่งช่วยให้ร่างกายสามารถดึงพลังงานจากไขมันสะสมมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

หลายคนที่เริ่มสนใจ วิธีลดน้ำหนัก ด้วย IF อาจมีคำถามว่า IF มีกี่แบบ และแต่ละแบบมีข้อดีหรือข้อเสียอย่างไร บางคนอาจเคยได้ยินเกี่ยวกับการอดอาหาร 16 ชั่วโมง กินอาหาร 8 ชั่วโมง หรือรูปแบบที่เข้มงวดกว่านั้น เช่น การกินเพียงมื้อเดียวต่อวัน ซึ่งอาจทำให้เกิดความสับสนว่าควรเลือกแบบใดให้เหมาะสมกับเป้าหมายของตนเอง

บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจว่า IF มีกี่แบบ และแต่ละแบบมีหลักการทำงานอย่างไร รวมถึงการเลือกวิธีที่เหมาะสมกับร่างกายและไลฟ์สไตล์ของคุณ เพื่อให้การ ลดน้ำหนัก เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถทำได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ

IF มีกี่แบบ

รู้จัก 6 ประเภทยอดนิยม


การทำ Intermittent Fasting หรือ IF เป็นหนึ่งใน วิธีลดน้ำหนัก ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน หลายคนอาจสงสัยว่า IF มีกี่แบบ และแบบไหนเหมาะกับตนเองมากที่สุด ความจริงแล้ว IF มีหลายรูปแบบ แต่ในบทความนี้จะกล่าวถึง 6 ประเภทที่ได้รับความนิยมสูงสุด ซึ่งแต่ละแบบมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป การเลือกประเภทของ IF ที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ เพราะแต่ละคนมีไลฟ์สไตล์และความต้องการที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงสุขภาพโดยรวมเพื่อให้สามารถปฏิบัติได้อย่างต่อเนื่องและได้ผลดี

ตารางเปรียบเทียบประเภทของ IF

ชื่อ IF ระยะเวลาการอดอาหาร จุดเด่น เหมาะกับใคร
16/8 อดอาหาร 16 ชั่วโมง กินอาหารในช่วง 8 ชั่วโมง เป็นวิธีที่ทำง่ายและได้รับความนิยมสูง ช่วยให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะเผาผลาญไขมันได้ดี เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นที่ต้องการลดน้ำหนัก
5:2 กินอาหารปกติ 5 วัน และลดแคลอรีเหลือ 500-600 แคลอรีใน 2 วัน ไม่ต้องอดอาหารทุกวัน แต่ยังช่วยควบคุมน้ำหนักได้ เหมาะกับคนที่ต้องการลดน้ำหนักแบบค่อยเป็นค่อยไป
OMAD (One Meal a Day) อดอาหาร 23 ชั่วโมง กินอาหารได้ 1 ชั่วโมง ลดไขมันได้อย่างรวดเร็ว ควบคุมแคลอรีได้ง่าย เหมาะกับผู้ที่มีประสบการณ์ทำ IF และต้องการลดไขมันอย่างเข้มข้น
ADF (Alternate-Day Fasting) กินอาหารปกติวันหนึ่ง และอดอาหารหรือจำกัดแคลอรีในวันถัดไป ลดน้ำหนักได้รวดเร็ว มีผลวิจัยรองรับเรื่องการเผาผลาญไขมัน เหมาะกับผู้ที่สามารถควบคุมการกินได้ดี
Warrior Diet อดอาหาร 20 ชั่วโมง และกินอาหารในช่วง 4 ชั่วโมง ได้รับแรงบันดาลใจจากวิถีชีวิตนักรบโบราณ ช่วยให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะเผาผลาญไขมันลึก เหมาะกับผู้ที่คุ้นเคยกับการทำ IF และต้องการลดไขมัน
Eat Stop Eat อดอาหาร 24 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 1-2 วัน ส่งเสริมการเผาผลาญไขมันและดีต่อสุขภาพโดยรวม เหมาะกับผู้ที่สามารถอดอาหารเต็มวันได้และต้องการควบคุมน้ำหนักในระยะยาว

1. 16/8 วิธีอดอาหารแบบคลาสสิก

วิธี 16/8 เป็นประเภทของ IF ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด โดยมีหลักการคือ อดอาหาร 16 ชั่วโมง และกินอาหารภายในช่วงเวลา 8 ชั่วโมง เช่น ถ้าเริ่มกินตอน 12.00 น. มื้อสุดท้ายควรอยู่ที่ 20.00 น. หลังจากนั้นจะเข้าสู่ช่วงอดอาหาร ข้อดีของวิธีนี้คือสามารถปรับให้เข้ากับชีวิตประจำวันได้ง่าย ไม่ต้องอดอาหารเป็นเวลานานเกินไป อีกทั้งยังช่วยลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพเนื่องจากร่างกายสามารถเผาผลาญไขมันได้ดีขึ้น

เหมาะสำหรับ

  • ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักแต่ยังต้องการความยืดหยุ่น
  • ผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นทำ IF

2. 5:2 ลดแคลอรีสองวันต่อสัปดาห์

หลักการของ IF 5:2 คือ กินอาหารปกติ 5 วันต่อสัปดาห์ และในอีก 2 วันให้จำกัดแคลอรีอยู่ที่ 500-600 แคลอรี การจำกัดแคลอรีเป็นระยะ ๆ เช่นนี้ช่วยให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะเผาผลาญไขมัน โดยไม่ต้องอดอาหารทุกวัน วิธีนี้ได้รับความนิยมเพราะไม่ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันมากนัก สามารถลดน้ำหนักได้โดยไม่ต้องรู้สึกหิวทุกวัน

เหมาะสำหรับ

  • คนที่ต้องการลดน้ำหนักแต่ไม่อยากอดอาหารทุกวัน
  • ผู้ที่ต้องการเริ่มต้นลดแคลอรีแบบค่อยเป็นค่อยไป

IF 20

3. One Meal a Day (OMAD) กินมื้อเดียวต่อวัน

OMAD เป็นวิธี IF ที่เข้มข้นที่สุดเพราะ ต้องอดอาหารถึง 23 ชั่วโมง และสามารถกินอาหารได้เพียง 1 ชั่วโมง ซึ่งช่วยให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะเผาผลาญไขมันอย่างเต็มที่ แม้ว่าจะเป็นวิธีที่ช่วยลดน้ำหนักได้เร็ว แต่ก็อาจทำให้ร่างกายขาดสารอาหารหากไม่เลือกกินอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง

เหมาะสำหรับ

  • ผู้ที่มีประสบการณ์ทำ IF มาก่อน
  • ผู้ที่ต้องการลดไขมันเร็วและควบคุมแคลอรีอย่างเคร่งครัด

4. Alternate-Day Fasting (ADF) อดวันเว้นวัน

ADF เป็นวิธีที่ให้ กินอาหารปกติในวันหนึ่ง และอดอาหารหรือจำกัดแคลอรี (ประมาณ 500 แคลอรี) ในวันถัดไป การทำเช่นนี้ช่วยกระตุ้นการเผาผลาญไขมันและลดน้ำหนักอย่างมีประสิทธิภาพ ข้อเสียคืออาจรู้สึกหิวมากในวันที่อดอาหาร ดังนั้นจึงต้องมีการวางแผนอาหารให้ดี

เหมาะสำหรับ

  • ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว
  • ผู้ที่สามารถควบคุมความหิวและการกินอาหารได้ดี

5. Warrior Diet อด 20 ชั่วโมง กิน 4 ชั่วโมง

แนวคิดของ Warrior Diet ได้รับแรงบันดาลใจจากพฤติกรรมของนักรบโบราณ โดยอดอาหาร 20 ชั่วโมง และกินอาหารในช่วง 4 ชั่วโมงที่เหลือ หลักการของวิธีนี้คือ กินอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วนในช่วงเวลากิน และในช่วงอดอาหารอาจดื่มเครื่องดื่มที่ไม่มีแคลอรี เช่น น้ำเปล่าหรือชา

เหมาะสำหรับ

  • ผู้ที่มีประสบการณ์กับการทำ IF
  • ผู้ที่ต้องการลดไขมันในขณะที่รักษามวลกล้ามเนื้อ

6. Eat Stop Eat อดอาหาร 24 ชั่วโมง 1-2 วันต่อสัปดาห์

วิธีนี้เป็นการอดอาหารแบบเต็มวัน โดยในช่วง 24 ชั่วโมงที่อดอาหารสามารถดื่มน้ำ ชา หรือกาแฟดำได้ แต่ไม่รับแคลอรี ข้อดีคือช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันและลดน้ำหนักได้เร็วขึ้น แต่ข้อเสียคืออาจทำให้รู้สึกหิวมาก และต้องมีวินัยในการควบคุมตัวเอง

เหมาะสำหรับ

  • ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักแบบจริงจัง
  • ผู้ที่สามารถอดอาหารทั้งวันได้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อร่างกาย

IF 14

IF แบบไหนลดไขมันเร็วที่สุด


Intermittent Fasting หรือ IF เป็นวิธีลดน้ำหนักที่ได้รับความนิยม เนื่องจากช่วยควบคุมปริมาณแคลอรีที่รับเข้าไปในแต่ละวันและส่งผลต่อระบบเผาผลาญของร่างกาย อย่างไรก็ตาม หลายคนที่สนใจทำ IF มักมีคำถามว่า IF มีกี่แบบ และแบบไหนช่วยลดไขมันได้เร็วที่สุด

เปรียบเทียบแต่ละประเภทของ IF ว่าแบบไหนลดน้ำหนักเร็วที่สุด

เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้น ควรเปรียบเทียบประเภทของ IF ที่ได้รับความนิยม โดยพิจารณาปัจจัยสำคัญ เช่น ระยะเวลาการอดอาหาร การเผาผลาญไขมัน และผลลัพธ์ต่อการลดน้ำหนัก

  1. IF 16/8

    • เป็นวิธีลดน้ำหนักที่ง่ายและได้รับความนิยมมากที่สุด
    • อดอาหาร 16 ชั่วโมง และกินภายใน 8 ชั่วโมง
    • มีงานวิจัยสนับสนุนว่าช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมันและลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  2. IF 5:2

    • กินอาหารปกติ 5 วัน และจำกัดแคลอรีให้ต่ำ (500-600 แคลอรี) ใน 2 วัน
    • ช่วยลดน้ำหนักได้ดี เพราะลดแคลอรีรวมต่อสัปดาห์
    • เหมาะสำหรับคนที่ต้องการควบคุมพลังงานแต่ไม่ต้องการอดอาหารทุกวัน
  3. OMAD (One Meal a Day)

    • อดอาหาร 23 ชั่วโมง และกินเพียง 1 มื้อในแต่ละวัน
    • มีแนวโน้มช่วยลดน้ำหนักและลดไขมันเร็วที่สุด เนื่องจากร่างกายเข้าสู่ภาวะเผาผลาญไขมันได้นานขึ้น
    • ไม่เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น เพราะอาจทำให้ร่างกายขาดสารอาหารได้ง่าย
  4. Alternate-Day Fasting (ADF)

    • อดอาหารวันเว้นวัน หรือในบางกรณีอาจลดปริมาณแคลอรีลงมากในวันอดอาหาร
    • มีงานวิจัยบางชิ้นระบุว่าสามารถลดน้ำหนักได้เร็วกว่าวิธีอื่น เนื่องจากช่วยลดปริมาณแคลอรีลงอย่างมีนัยสำคัญ
  5. Warrior Diet

    • อดอาหาร 20 ชั่วโมง และกินภายใน 4 ชั่วโมง
    • มีแนวโน้มช่วยลดไขมันเร็วขึ้น เนื่องจากร่างกายใช้พลังงานสะสมมากกว่าปกติ
    • เหมาะกับผู้ที่มีประสบการณ์ทำ IF มาก่อน
  6. Eat Stop Eat

    • อดอาหาร 24 ชั่วโมง 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์
    • สามารถลดแคลอรีได้มาก และช่วยให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะเผาผลาญไขมันได้ดี
    • ต้องใช้ความอดทนสูง และไม่เหมาะสำหรับทุกคน

IF 2025 03 06T152940.319

วิเคราะห์ผลการวิจัยเกี่ยวกับ IF กับการเผาผลาญไขมัน

มีงานวิจัยจำนวนมากที่ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง วิธีลดน้ำหนัก ด้วย IF และการเผาผลาญไขมัน โดยพบว่า IF สามารถกระตุ้นกระบวนการ Autophagy ซึ่งเป็นการรีไซเคิลเซลล์เก่าและช่วยให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานสะสมได้ดีขึ้น

  • งานวิจัยจากวารสาร The New England Journal of Medicine ระบุว่า IF มีผลช่วยลดระดับอินซูลินในร่างกาย ทำให้ร่างกายสามารถดึงไขมันมาใช้เป็นพลังงานได้มากขึ้น
  • มีการศึกษาที่พบว่า IF 16/8 และ OMAD มีประสิทธิภาพสูงในการลดไขมัน โดยเฉพาะในผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกิน
  • การอดอาหารเป็นระยะช่วยกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนโกรท (Growth Hormone) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการรักษามวลกล้ามเนื้อขณะลดไขมัน

แนะนำว่าควรเลือกแบบไหนให้เหมาะกับร่างกายและไลฟ์สไตล์

การเลือก วิธีลดน้ำหนัก ที่เหมาะสมกับร่างกายและไลฟ์สไตล์เป็นสิ่งสำคัญ แม้ว่าการทำ IF จะช่วยให้ลดไขมันได้ แต่หากเลือกแบบที่ไม่เหมาะกับตัวเอง อาจทำให้เกิดภาวะโหยอาหารหรือระบบเผาผลาญชะลอตัว

  • เหมาะสำหรับมือใหม่ IF 16/8 และ IF 5:2 เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เนื่องจากไม่ต้องอดอาหารเป็นระยะเวลานานจนเกินไป
  • เหมาะสำหรับผู้ที่มีประสบการณ์ทำ IF แล้ว OMAD, Warrior Diet หรือ Alternate-Day Fasting สามารถช่วยเร่งอัตราการเผาผลาญไขมันได้ดียิ่งขึ้น
  • เหมาะสำหรับคนที่มีไลฟ์สไตล์ไม่แน่นอน Eat Stop Eat หรือ IF 5:2 อาจเป็นตัวเลือกที่ยืดหยุ่นและสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามตารางชีวิต

เคล็ดลับทำ IF ให้ได้ผลเร็วขึ้น


การทำ Intermittent Fasting หรือ IF ให้ได้ผลดีและสามารถลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องมีวิธีปฏิบัติที่ถูกต้อง ไม่ใช่แค่อดอาหารตามช่วงเวลาเท่านั้น แต่ยังต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อร่างกายโดยรวม หลายคนที่เริ่มต้นอาจสงสัยว่า IF มีกี่แบบ และแต่ละแบบต้องปฏิบัติอย่างไรเพื่อให้เกิดผลลัพธ์สูงสุด ดังนั้นการเรียนรู้เคล็ดลับต่อไปนี้จะช่วยให้การทำ IF มีประสิทธิภาพและสามารถลดไขมันได้เร็วยิ่งขึ้น

  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ

น้ำมีบทบาทสำคัญอย่างมากในการช่วยให้ร่างกายปรับตัวเข้ากับ IF และช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานได้ดีขึ้น ในช่วงที่อดอาหาร ร่างกายอาจเกิดภาวะขาดน้ำโดยไม่รู้ตัว ซึ่งอาจทำให้รู้สึกหิวมากขึ้นกว่าปกติ ส่งผลให้บางคนไม่สามารถควบคุมการกินในช่วงเวลาที่กำหนดได้อย่างมีประสิทธิภาพ การดื่มน้ำให้เพียงพอไม่เพียงช่วยลดความหิวระหว่างช่วงอดอาหารเท่านั้น แต่ยังช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญและทำให้กระบวนการลดน้ำหนักเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สำหรับผู้ที่สงสัยว่า IF มีกี่แบบ และแบบไหนเหมาะกับตนเอง การเลือกดื่มน้ำให้เหมาะสมกับประเภทของ IF ที่ทำอยู่ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เห็นผลลัพธ์เร็วขึ้น

วิธีทำ if ที่ถูกต้อง

  • เลือกอาหารที่มีประโยชน์ในช่วงเวลากิน

แม้ว่า IF จะเน้นที่การกำหนดช่วงเวลาในการกินอาหาร แต่สิ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่านั้นคือการเลือกอาหารที่รับประทาน หลายคนทำ IF แต่ไม่ได้ผลตามที่คาดหวังเพราะเลือกรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม ในช่วงที่สามารถกินอาหารได้ ควรเน้นอาหารที่มีโปรตีนสูง ไขมันดี และคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ปลา ไข่ ถั่ว อะโวคาโด และผักใบเขียว อาหารเหล่านี้ช่วยให้รู้สึกอิ่มนาน ลดความอยากอาหาร และป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็วซึ่งอาจทำให้เกิดความหิวเร็วขึ้น นอกจากนี้ การเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสมจะช่วยให้ วิธีลดน้ำหนัก ด้วย IF มีประสิทธิภาพมากขึ้น และช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้อย่างต่อเนื่อง

  • ควบคุมปริมาณแคลอรี

หนึ่งในข้อผิดพลาดที่ทำให้หลายคนทำ IF แล้วไม่ได้ผลคือการรับประทานแคลอรีมากเกินไปในช่วงเวลากิน แม้ว่า IF จะช่วยให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะเผาผลาญไขมันได้ดีขึ้น แต่หากบริโภคแคลอรีมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน ผลลัพธ์ที่ต้องการก็อาจไม่เกิดขึ้น ดังนั้น ควรคำนวณปริมาณแคลอรีที่เหมาะสมกับร่างกายและปรับให้สอดคล้องกับเป้าหมายในการ ลดน้ำหนัก หากต้องการลดไขมันเร็วขึ้น ควรลดปริมาณแคลอรีลงเล็กน้อย แต่ต้องไม่ต่ำจนเกินไปจนร่างกายเข้าสู่โหมดเผาผลาญต่ำ ซึ่งอาจทำให้การลดน้ำหนักหยุดชะงักได้

  • ออกกำลังกายร่วมด้วย

แม้ว่า IF จะช่วยกระตุ้นกระบวนการเผาผลาญไขมัน แต่การออกกำลังกายควบคู่ไปด้วยจะช่วยให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้มากขึ้นและทำให้กล้ามเนื้อกระชับขึ้น การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ เช่น วิ่ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน หรือการออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่ง เช่น ยกน้ำหนัก จะช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อและทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้มากขึ้นแม้ในช่วงที่ไม่ได้ออกกำลังกาย สำหรับผู้ที่ต้องการ วิธีลดน้ำหนัก ที่ได้ผลดีและรวดเร็ว การทำ IF ร่วมกับการออกกำลังกายเป็นแนวทางที่สามารถทำให้เห็นผลได้เร็วขึ้น

Intermittent Fasting หรือ IF มีกี่แบบนั้นขึ้นอยู่กับวิธีการจำกัดช่วงเวลารับประทานอาหารและช่วงเวลาการอดอาหาร ซึ่งแต่ละแบบมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป การเลือกประเภทของ IF ควรพิจารณาให้เหมาะสมกับเป้าหมายของแต่ละบุคคล โดยเฉพาะหากต้องการใช้เป็น วิธีลดน้ำหนัก อย่างมีประสิทธิภาพ

จากรูปแบบทั้งหมดที่กล่าวมา OMAD (One Meal a Day), Alternate-Day Fasting (ADF) และ 16/8 เป็นวิธีที่หลายคนให้ความสนใจเนื่องจากสามารถช่วยลดไขมันได้อย่างรวดเร็ว สำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักและเผาผลาญไขมันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การเลือกทำ IF แบบใดแบบหนึ่งหรือปรับเปลี่ยนตามไลฟ์สไตล์เป็นสิ่งสำคัญ

อย่างไรก็ตาม การเลือก วิธีลดน้ำหนัก ด้วยการทำ IF ควรคำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ เช่น การรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ การออกกำลังกาย และการดูแลสุขภาพโดยรวมเพื่อให้ร่างกายปรับตัวได้ดีและมีผลลัพธ์ที่ยั่งยืน การลดน้ำหนักที่ดีไม่ควรเป็นการอดอาหารแบบหักโหมจนร่างกายขาดสารอาหาร แต่ควรเป็นการเลือกช่วงเวลารับประทานอาหารที่เหมาะสม ควบคู่กับการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะเลือกทำ IF แบบใด การให้ความสำคัญกับสุขภาพโดยรวมเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ การมีวินัยในการปฏิบัติตามรูปแบบที่เลือก และปรับให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของตัวเองจะช่วยให้คุณสามารถลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

ปรึกษาปัญหาลดน้ำหนัก

แชร์บทความดีๆ ให้ทุกคนได้อ่าน

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Shopping Cart
0