IF ลดน้ำหนัก หรือที่เรียกกันว่า Intermittent Fasting เป็นหนึ่งใน วิธีลดน้ำหนัก ที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นแนวทางการควบคุมอาหารที่ไม่จำเป็นต้องจำกัดประเภทของอาหารที่รับประทาน แต่เน้นการกำหนดช่วงเวลาในการกินและอดอาหารอย่างเป็นระบบ หลายคนเลือกใช้วิธีนี้เพราะช่วยให้ร่างกายเข้าสู่กระบวนการเผาผลาญไขมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังมีงานวิจัยที่สนับสนุนว่าอาจช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมน ส่งผลดีต่อสุขภาพในระยะยาว
การทำ IF สามารถแบ่งออกเป็นหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละแบบมีช่วงเวลาในการกินและอดอาหารที่แตกต่างกัน โดยรูปแบบที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ได้แก่ IF 16/8, IF 18/6 และ IF 20/4 แต่ละแบบเหมาะสำหรับคนที่มีเป้าหมายแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นการลดน้ำหนักอย่างค่อยเป็นค่อยไป การลดน้ำหนักแบบเร่งด่วน หรือการควบคุมอาหารเพื่อสุขภาพ หลายคนที่สนใจเริ่มต้นมักมีคำถามว่า IF แบบไหนดีที่สุด ควรเลือกอย่างไรให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของตนเอง
ในบทความนี้ จะมาแนะนำรายละเอียดเกี่ยวกับ IF แต่ละแบบ รวมถึงแจก ตาราง IF ลดน้ำหนัก ที่สามารถนำไปปรับใช้ได้จริง ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นหรือคนที่ต้องการปรับเปลี่ยนแนวทางการทำ IF ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การเลือกวิธีที่เหมาะสมจะช่วยให้สามารถควบคุมน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถทำได้ต่อเนื่องโดยไม่รู้สึกว่าถูกบังคับหรือต้องอดอาหารจนเกินไป
เปรียบเทียบ IF 16/8, 18/6, 20/4
แบบไหนเหมาะกับคุณ
การทำ IF มีหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับความสะดวกของแต่ละคน หลักๆ แล้วรูปแบบที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ IF 16/8, IF 18/6 และ IF 20/4 ซึ่งแต่ละแบบมีความแตกต่างกันทั้งในเรื่องของระยะเวลาการอดอาหาร ระยะเวลาการรับประทานอาหาร และผลลัพธ์ที่คาดหวังได้ หากต้องการเลือกให้เหมาะสม ควรพิจารณาจากเป้าหมายและไลฟ์สไตล์ของตนเอง
IF 16/8
รูปแบบ IF 16/8 เป็นวิธีลดน้ำหนักที่ได้รับความนิยมสูงและเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น เนื่องจากมีระยะเวลาอดอาหาร 16 ชั่วโมง และสามารถรับประทานอาหารได้ภายใน 8 ชั่วโมง ตัวอย่างเช่น หากเริ่มกินมื้อแรกเวลา 12.00 น. มื้อสุดท้ายจะอยู่ที่ 20.00 น. แล้วเริ่มอดอาหารไปจนถึงวันถัดไป
- เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้น IF แบบไม่หักโหมเกินไป
- สามารถปรับเข้ากับตารางชีวิตประจำวันได้ง่าย โดยเฉพาะผู้ที่รับประทานอาหารวันละสามมื้อ
- มีความยืดหยุ่นสูง สามารถเลือกช่วงเวลารับประทานอาหารที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ได้
- เป็นรูปแบบที่สามารถทำต่อเนื่องได้ในระยะยาวโดยไม่รู้สึกหิวมากเกินไป
IF 18/6
IF 18/6 เป็นอีกหนึ่งวิธีลดน้ำหนักที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเห็นผลเร็วขึ้นจากการทำ IF เพราะช่วยให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะเผาผลาญไขมันได้ดีขึ้น ระยะเวลาอดอาหารอยู่ที่ 18 ชั่วโมง และสามารถรับประทานอาหารได้ภายใน 6 ชั่วโมง เช่น หากเริ่มกินมื้อแรกเวลา 14.00 น. มื้อสุดท้ายจะอยู่ที่ 20.00 น.
- เหมาะสำหรับผู้ที่มีประสบการณ์ทำ IF 16/8 มาก่อนและต้องการเพิ่มระดับการเผาผลาญไขมัน
- ช่วยลดระดับอินซูลินในร่างกายได้ดีขึ้น ส่งผลให้ร่างกายสามารถดึงไขมันสะสมมาใช้ได้มากขึ้น
- ลดน้ำหนักได้เร็วขึ้นเมื่อเทียบกับ IF 16/8 เนื่องจากร่างกายมีช่วงเวลาอดอาหารที่นานขึ้น
- อาจต้องมีการปรับตัวกับความหิวในช่วงแรก แต่สามารถทำให้ร่างกายคุ้นชินได้เมื่อทำต่อเนื่อง
IF 20/4
IF 20/4 เป็นรูปแบบของการทำ IF ที่เข้มข้นที่สุดในกลุ่มนี้ เนื่องจากต้องอดอาหารเป็นเวลานานถึง 20 ชั่วโมง และสามารถรับประทานอาหารได้เพียง 4 ชั่วโมง เช่น หากเริ่มกินมื้อแรกเวลา 16.00 น. มื้อสุดท้ายต้องอยู่ที่ 20.00 น.
- เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเผาผลาญไขมันขั้นสูงสุดและเคยมีประสบการณ์ทำ IF 18/6 หรือ 16/8 มาแล้ว
- เป็นวิธีลดน้ำหนักที่ช่วยเร่งกระบวนการดึงไขมันสะสมมาใช้เป็นพลังงาน ทำให้เห็นผลเรื่องการลดน้ำหนักได้ไว
- อาจส่งผลต่อระดับพลังงานในช่วงแรกของการปรับตัว เนื่องจากร่างกายต้องอยู่ในภาวะอดอาหารเป็นเวลานาน
- เหมาะสำหรับผู้ที่สามารถควบคุมปริมาณอาหารให้ได้รับสารอาหารเพียงพอภายในช่วงเวลาที่กำหนด
ตารางเปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสียของแต่ละแบบ
ประเภท IF | ระยะเวลาอดอาหาร | ระยะเวลารับประทานอาหาร | ข้อดี | ข้อเสีย |
---|---|---|---|---|
IF 16/8 | 16 ชั่วโมง | 8 ชั่วโมง | เหมาะสำหรับมือใหม่ ปรับตัวได้ง่าย ทำต่อเนื่องได้ระยะยาว | การลดน้ำหนักอาจช้ากว่าแบบอื่น |
IF 18/6 | 18 ชั่วโมง | 6 ชั่วโมง | เผาผลาญไขมันได้ดีขึ้น ช่วยลดน้ำหนักได้เร็ว | ต้องปรับตัวกับความหิวที่มากขึ้น |
IF 20/4 | 20 ชั่วโมง | 4 ชั่วโมง | เผาผลาญไขมันอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด | ต้องควบคุมอาหารให้ครบหมู่ อาจส่งผลต่อพลังงานในช่วงแรก |
IF แต่ละแบบมีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับเป้าหมายและความสามารถในการปรับตัวของแต่ละบุคคล หากเป็นมือใหม่แนะนำให้เริ่มจาก IF 16/8 ก่อนเพื่อให้ร่างกายปรับตัว จากนั้นสามารถค่อยๆ เพิ่มระดับไปที่ IF 18/6 หรือ IF 20/4 ตามความเหมาะสมของร่างกายและเป้าหมายการลดน้ำหนักของตนเอง
แจกตาราง IF ลดน้ำหนัก
16/8 – 18/6 – 20/4
การทำ IF เป็นหนึ่งในวิธีลดน้ำหนักที่ได้รับความนิยม เพราะช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเลือกช่วงเวลาการกินและอดอาหารที่เหมาะสมสามารถช่วยให้การลดน้ำหนักเห็นผลได้เร็วขึ้น โดยทั่วไปแล้วมีรูปแบบที่นิยม ได้แก่ IF 16/8, IF 18/6 และ IF 20/4 ซึ่งแต่ละแบบมีความเหมาะสมที่แตกต่างกันไปตามไลฟ์สไตล์และเป้าหมายของแต่ละคน
IF 16/8
IF 16/8 เป็นรูปแบบที่ได้รับความนิยมมากที่สุดและเหมาะสำหรับมือใหม่ที่ต้องการเริ่มต้น วิธีลดน้ำหนัก ด้วยการทำ IF ในลักษณะนี้ จะเป็นการอดอาหารเป็นเวลา 16 ชั่วโมง และมีช่วงเวลาที่สามารถรับประทานอาหารได้ 8 ชั่วโมง ซึ่งสามารถปรับเวลาตามความสะดวกของแต่ละคน เช่น
- ช่วงเวลากินอาหารที่แนะนำ 12:00 – 20:00 น. หรือ 10:00 – 18:00 น.
- ตัวอย่างเมนูอาหาร ควรเลือกอาหารที่มีโปรตีนสูง ไขมันดี และคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น อกไก่ย่าง ผักใบเขียว ข้าวกล้อง ถั่ว และน้ำมันมะกอก
- วิธีเริ่มต้นสำหรับมือใหม่ เริ่มจากการปรับเวลามื้ออาหาร ค่อยๆ ลดมื้อเช้าแล้วขยายช่วงอดอาหารให้ถึง 16 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายปรับตัวได้ง่ายขึ้น
IF 18/6
IF 18/6 เป็นอีกหนึ่งรูปแบบของ IF ที่มีความเข้มข้นมากขึ้น เนื่องจากเป็นการอดอาหาร 18 ชั่วโมง และกินได้เพียง 6 ชั่วโมง เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มคุ้นเคยกับ วิธีลดน้ำหนัก แบบ IF และต้องการเพิ่มประสิทธิภาพในการเผาผลาญไขมัน
- ช่วงเวลากิน-อดอาหารที่แนะนำ 12:00 – 18:00 น. หรือ 14:00 – 20:00 น.
- เมนูแนะนำให้ได้ผลดี เน้นอาหารที่ให้พลังงานสูงแต่ไม่ทำให้น้ำตาลในเลือดพุ่ง เช่น ไข่ต้ม อะโวคาโด เนื้อปลา ข้าวโอ๊ต และอัลมอนด์
- เคล็ดลับทำให้ร่างกายปรับตัวง่ายขึ้น ควรค่อยๆ ลดระยะเวลาการกินจาก 8 ชั่วโมงเหลือ 6 ชั่วโมง ควบคู่กับการดื่มน้ำมากๆ และเลือกอาหารที่มีใยอาหารสูงเพื่อลดความหิว
IF 20/4
IF 20/4 เป็นรูปแบบที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเผาผลาญไขมันอย่างรวดเร็วและมีประสบการณ์กับการทำ IF มาก่อน การอดอาหารเป็นเวลา 20 ชั่วโมง อาจฟังดูยาก แต่หากร่างกายปรับตัวได้แล้ว จะช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมันและช่วยให้การ ลดน้ำหนัก มีประสิทธิภาพมากขึ้น
- ช่วงเวลากินที่เหมาะสม 14:00 – 18:00 น. หรือ 16:00 – 20:00 น.
- อาหารที่แนะนำ ควรเลือกอาหารที่ให้พลังงานสูงและอิ่มนาน เช่น สเต็กเนื้อ ผักนึ่ง ขนมปังโฮลวีต และน้ำมันมะพร้าว เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารเพียงพอในช่วงเวลาที่จำกัด
- คำแนะนำพิเศษสำหรับคนที่ต้องการเผาผลาญไขมันขั้นสุด ควรเลือกดื่มน้ำเปล่าหรือชาไม่ใส่น้ำตาลระหว่างช่วงอดอาหาร เพื่อช่วยกระตุ้นการเผาผลาญไขมันและลดความหิว
ตาราง IF ลดน้ำหนัก
ประเภท IF | ช่วงเวลากินอาหาร | ช่วงเวลาอดอาหาร | เหมาะสำหรับ | เมนูแนะนำ | เคล็ดลับปรับตัว |
---|---|---|---|---|---|
IF 16/8 | 12:00 – 20:00 น. หรือ 10:00 – 18:00 น. | 16 ชั่วโมง | มือใหม่ที่เริ่มต้นทำ IF | อกไก่ย่าง, ข้าวกล้อง, ผักนึ่ง, ไข่ต้ม | เริ่มจากลดมื้อเช้า และค่อยๆ ปรับเวลาการอดอาหาร |
IF 18/6 | 12:00 – 18:00 น. หรือ 14:00 – 20:00 น. | 18 ชั่วโมง | ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักเร็วขึ้น | ไข่ต้ม, อะโวคาโด, เนื้อปลา, ข้าวโอ๊ต | ดื่มน้ำมากๆ เลือกอาหารที่มีใยอาหารสูงเพื่อลดความหิว |
IF 20/4 | 14:00 – 18:00 น. หรือ 16:00 – 20:00 น. | 20 ชั่วโมง | คนที่ต้องการเผาผลาญไขมันขั้นสุด | สเต็กเนื้อ, ผักนึ่ง, ขนมปังโฮลวีต, น้ำมันมะพร้าว | ดื่มน้ำหรือชาไม่ใส่น้ำตาลช่วยลดความหิว |
เคล็ดลับทำ IF ลดน้ำหนัก ให้ได้ผลจริง
การทำ IF ให้ได้ผลอย่างมีประสิทธิภาพไม่ใช่แค่การกำหนดช่วงเวลาอดอาหารและกินอาหารเท่านั้น แต่ยังต้องมีวินัยและเลือกวิธีที่เหมาะสมกับร่างกายของแต่ละคน การปรับพฤติกรรมการกินให้เหมาะสมสามารถช่วยให้การ ลดน้ำหนัก ได้ผลเร็วขึ้นและยั่งยืนกว่าการอดอาหารแบบผิดวิธี
วิธีทำให้ IF ลดน้ำหนัก เห็นผลเร็วขึ้น
-
เลือกอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ
การทำ IF ไม่ได้หมายความว่าหลังจากช่วงอดอาหารจะสามารถกินอะไรก็ได้ การเลือกอาหารที่ดีมีส่วนสำคัญต่อการ ลดน้ำหนัก ให้เห็นผล ควรเน้นโปรตีนที่ย่อยง่าย เช่น อกไก่ ไข่ต้ม เนื้อปลา และเต้าหู้ รวมถึงเพิ่มปริมาณผักและผลไม้ที่มีกากใยสูงเพื่อช่วยให้รู้สึกอิ่มนาน หลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูงและไขมันทรานส์เพราะอาจทำให้ร่างกายสะสมไขมันส่วนเกินได้ง่ายขึ้น -
ดื่มน้ำให้เพียงพอ
การดื่มน้ำเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและช่วยลดความหิวระหว่างช่วงอดอาหารของ IF น้ำช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานดีขึ้นและช่วยให้รู้สึกอิ่มได้ง่ายขึ้น แนะนำให้ดื่มน้ำสะอาดวันละ 2-3 ลิตร และอาจเสริมด้วยน้ำมะนาวหรือน้ำเปล่าผสมเกลือแร่เล็กน้อยเพื่อลดอาการอ่อนเพลีย -
ควบคุมปริมาณแคลอรี่
แม้ว่าการทำ IF จะช่วยให้ร่างกายเข้าสู่โหมดเผาผลาญไขมันได้ดีขึ้น แต่หากรับประทานแคลอรี่มากเกินไปก็อาจทำให้ ลดน้ำหนัก ได้ยากขึ้น ดังนั้นควรคำนวณปริมาณแคลอรี่ที่เหมาะสมต่อวันตามน้ำหนักตัวและกิจกรรมที่ทำ หากต้องการเห็นผลไวควรเลือกกินอาหารที่มีแคลอรี่ต่ำแต่ให้พลังงานสูง เช่น ธัญพืชไม่ขัดสี ไข่ต้ม และเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน
สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงเมื่อทำ IF ลดน้ำหนัก
-
กินมากเกินไปหลังอดอาหาร
หนึ่งในความผิดพลาดที่พบบ่อยในการทำ IF คือการกินอาหารปริมาณมากในช่วงเวลากินเพราะร่างกายรู้สึกหิวมากหลังจากอดอาหารมานาน การกินมากเกินไปโดยเฉพาะอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูงและไขมันสูง อาจทำให้ร่างกายสะสมพลังงานเกินความจำเป็นและทำให้ ลดน้ำหนัก ได้ยากขึ้น -
เลือกอาหารผิดประเภท
การเลือกอาหารที่ไม่เหมาะสมหลังจากช่วงอดอาหารอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและส่งผลให้ร่างกายต้องการอาหารมากขึ้นในมื้อต่อไป ควรหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป อาหารทอด ขนมหวาน และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง เพราะอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพและทำให้แผน IF ไม่ได้ผลตามที่คาดหวัง
วิธีจัดการกับความหิวระหว่างอดอาหาร
-
ดื่มน้ำหรือเครื่องดื่มที่ไม่มีแคลอรี่
ระหว่างช่วงอดอาหารอาจมีความรู้สึกหิวเกิดขึ้น วิธีที่ช่วยลดความหิวได้ดีคือการดื่มน้ำเปล่าหรือเครื่องดื่มที่ไม่มีแคลอรี่ เช่น กาแฟดำ ชาเขียว หรือชาสมุนไพร ซึ่งช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญและลดความอยากอาหาร -
เลือกอาหารที่อยู่ท้องและช่วยให้อิ่มนาน
ก่อนเริ่มต้นช่วงอดอาหาร ควรเลือกกินอาหารที่ช่วยให้อิ่มนาน เช่น อาหารที่มีกากใยสูงอย่างผักใบเขียว ธัญพืชเต็มเมล็ด และโปรตีนไม่ติดมัน อาหารเหล่านี้ช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่และลดความรู้สึกหิวระหว่างการทำ IF -
หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่กระตุ้นความหิว
หากรู้สึกหิวมากระหว่างช่วงอดอาหาร ควรหากิจกรรมทำเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ เช่น การอ่านหนังสือ ออกกำลังกายเบาๆ หรือทำงานที่ต้องใช้สมาธิ เพราะการปล่อยให้ตัวเองว่างอาจทำให้คิดถึงอาหารและรู้สึกหิวมากขึ้น
การเลือก IF ที่เหมาะสมกับตัวเองเป็นสิ่งสำคัญ เพราะร่างกายของแต่ละคนตอบสนองต่อการอดอาหารและช่วงเวลากินไม่เหมือนกัน หากคุณเป็นมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้น วิธีลดน้ำหนัก ด้วย Intermittent Fasting ควรเริ่มจาก IF 16/8 ซึ่งเป็นรูปแบบที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากเป็นการอดอาหารเป็นเวลา 16 ชั่วโมง และมีช่วงเวลากิน 8 ชั่วโมง ช่วยให้ร่างกายปรับตัวได้ง่าย ลดความเสี่ยงของอาการอ่อนเพลีย หรือหิวมากจนรับประทานอาหารเกินพอดี สำหรับผู้ที่สามารถทำ IF แบบ 16/8 ได้ต่อเนื่อง และรู้สึกว่าร่างกายเริ่มปรับตัวได้ดี อาจลองขยับไปทำ IF 18/6 ซึ่งเพิ่มช่วงเวลาอดอาหารเป็น 18 ชั่วโมง และลดช่วงเวลากินเหลือ 6 ชั่วโมง วิธีนี้ช่วยให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะเผาผลาญไขมัน (Ketosis) ได้เร็วขึ้น ส่งผลให้การ ลดน้ำหนัก มีประสิทธิภาพมากขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจนขึ้น และสามารถควบคุมความหิวได้ดีในระดับหนึ่ง
สำหรับผู้ที่ต้องการความเข้มข้นขึ้น หรือมีเป้าหมายในการเผาผลาญไขมันอย่างเร่งด่วน อาจเลือกทำ IF 20/4 ซึ่งเป็นการอดอาหารยาวนานถึง 20 ชั่วโมง และมีช่วงเวลากินเพียง 4 ชั่วโมง รูปแบบนี้ต้องใช้วินัยสูง เพราะเวลาที่สามารถรับประทานอาหารมีจำกัด จำเป็นต้องเลือกอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน เพื่อป้องกันภาวะขาดสารอาหาร อย่างไรก็ตาม IF แบบ 20/4 ไม่เหมาะสำหรับทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะสุขภาพบางอย่าง เช่น ผู้ที่มีปัญหาระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ หรือผู้ที่ออกกำลังกายหนักและต้องการพลังงานมาก สิ่งสำคัญที่สุดในการทำ IF คือการเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์และสุขภาพของตัวเอง ไม่มีสูตรตายตัวว่ารูปแบบไหนดีที่สุด เพราะแต่ละคนมีความต้องการและการตอบสนองของร่างกายที่แตกต่างกัน หลายคนอาจเริ่มจาก IF 16/8 แล้วค่อยๆ ปรับไปเป็น IF 18/6 หรือ IF 20/4 ตามความสะดวก แต่ไม่ควรฝืนร่างกายจนเกินไป หากรู้สึกอ่อนเพลียหรือมีอาการผิดปกติ ควรปรับแผนการทำ IF ให้เหมาะสม
นอกจากนี้ การทำ IF ให้มีประสิทธิภาพ ควรควบคุมคุณภาพของอาหารที่รับประทานในช่วงเวลากิน ไม่ใช่เพียงแค่กำหนดช่วงเวลาอดอาหารเท่านั้น เพราะหากรับประทานอาหารที่มีแคลอรี่สูง หรือเต็มไปด้วยน้ำตาลและไขมันที่ไม่มีประโยชน์ อาจทำให้การ ลดน้ำหนัก ไม่ได้ผลตามที่คาดหวัง ดังนั้นควรเลือกอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน เช่น โปรตีนดีจากเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไขมันดีจากอะโวคาโดและถั่ว ธัญพืชไม่ขัดสี ผักและผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูง เพื่อช่วยให้ร่างกายอิ่มนาน และลดความหิวระหว่างช่วงอดอาหาร อีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยให้ IF มีประสิทธิภาพคือการดื่มน้ำให้เพียงพอ เพราะน้ำช่วยลดความหิวและกระตุ้นกระบวนการเผาผลาญไขมัน การดื่มน้ำเปล่าหรือเครื่องดื่มที่ไม่มีแคลอรี่ เช่น ชาสมุนไพรหรือกาแฟดำในช่วงอดอาหาร สามารถช่วยลดความอยากอาหารและทำให้ร่างกายอยู่ในภาวะเผาผลาญไขมันได้ต่อเนื่อง